Walmart บริษัทค้าปลีกขนาด 4 แสนล้านของสหรัฐ
Sam Walton ผู้ก่อตั้งยุคบุกเบิก Walmart มีแนวคิดที่จะทำให้สินค้าที่ขายผ่าน Walmart นั้นมีราคาถูกกว่าเจ้าอื่น จึงได้ซื้อสินค้าจากผู้ผลิตโดยตรงทำให้ได้ราคาต้นทุนที่ถูกกว่า เเละเน้นขยายสาขาไปในเมืองเล็กๆที่มีคู่แข่งน้อยก่อน จึงทำให้การเติบโตของ Walmart ถือได้ว่าเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดและสามารถเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ในปี 1970 ซึ่งใช้เวลาเพียง 8 ปีเท่านั้น
ปัจจุบันลักษณะการให้บริการจะออกมาในรูปแบบ Omni Channel คือช่องทางการสื่อสารและบริการลูกค้าในแบบที่หลากหลาย โดยการเชื่อมโยงระบบ Offline และ Online เข้าด้วยกันคือทั้งระบบหน้าร้านและ Online สามารถซื้อสินค้าได้เหมือนกัน
สิ่งที่ Walmart ได้กลับมาไม่เพียงแค่รายได้จากการขายสินค้าเท่านั้น บริษัทยังได้ข้อมูลลูกค้าเพิ่มเข้ามาด้วย ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นจะเป็นประโยชน์กับการทำราคาของสินค้าเพื่อกลายมาเป็นจุดดึงดูดตัวลูกค้าเอง รวมถึงยังสำรวจพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าอีกว่าสินค้าชิ้นไหนควรวางไว้ใกล้กันช่วยให้ลูกค้าสามารถหยิบได้ง่ายแถมเป็นการเพิ่มยอดขายไปในตัว ส่งผลให้ตอนนี้ Walmart มีสาขามากกว่า 10,000 สาขาทั่วโลก
ปัจจุบันพฤติกรรมของลูกค้าเริ่มเปลี่ยนเข้ามาใช้ช่องทาน Online มากขึ้น Walmart จึงได้พัฒนาแพลตฟอร์ม E-Commerce เพิ่มเข้ามาเพื่อการช้อปปิ้งได้อย่างสะดวกมากขึ้น (หลังเมาหมัดเจอ Amazon ไล่บี้มานาน)
การตีตลาด E-Commerce อย่างจริงจังของ Walmart เริ่มต้นขึ้นในปี 2016 ด้วยการซื้อกิจการของ Jet.com โดยก่อนหน้านี้ Jet.com มีจุดยืนของบริษัทว่าจะขายสินค้าราคาถูกกว่า Amazon (E-Commerce เบอร์ 1 สหรัฐ) ซึ่งตรงกับแนวคิดของ Walmart อยู่แล้ว
หลังเข้าซื้อเปลี่ยนชื่อกลายเป็น Walmart.com ซึ่งเป็นรายได้ฝั่งที่นักลงทุนจับจ้องเป็นอย่างมากในการประกาศงบแต่ละครั้ง
รายได้ของ Walmart
2018 : 500,343 ล้านดอลลาร์
2019 : 514,405 ล้านดอลลาร์
2020 : 523,964 ล้านดอลลาร์
บริษัทประกาศงบไตรมาสล่าสุด(Q1FY22)อยู่ที่ 138,310 ล้านดอลลาร์โต +2.7% YoY สูงกว่าตลาดคาด (132,160 ล้านดอลลาร์) และ EPS อยู่ที่ $1.62 ซึ่งสูงกว่าคาดเช่นกัน($1.29)
รายได้ร้านค้าปลีกในสหรัฐโต +6%
ยอดขายฝั่ง E-Commerce ในสหรัฐโต +37%
ร้าน Sam Club’s(ไม่รวมน้ำมัน) โต +7.2%
ช่วงประกาศงบไตรมาสที่แล้ว(Q4FY21) CEO ของบริษัทได้ออกมาให้ Guidance ว่าปีนี้จะมียอดขายลดลง ทำให้หลังประกาศหุ้นร่วงไม่เป็นท่า
CEO ยังให้ความเห็นว่าถึงบริษัทจะได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นของสหรัฐ แต่วิกฤตของโรคระบาดยังคงมีอยู่ และมาตรการกระตุ้นหลังจากนี้ยังดูเป็นไปได้ยาก รวมถึงในตลาดต่างประเทศ(เช่น แคนาดาและอินเดีย)ยังคงได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัส
อีกส่วนหนึ่งเพราะบริษัทอยู่ในช่วงปรับตัวให้พ้นจาก Brick and Motar ต้องไล่ขายกิจการในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เหตุการณ์ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาคือขายกิจการใน Argentina, U.K. และ ญุี่ปุ่นไปแล้ว
นอกจากนี้ยังถูกผลกระทบจากนโยบายที่ Biden ให้ไว้คือเพิ่มค่าจ้างคนสหรัฐถึง $15 ต่อชั่วโมง ทำให้บริษัทมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นอีกหลายพันล้านดอลลาร์ แต่ที่น่าจับตาคือผู้บริหารได้บอกว่าบริษัทจะเร่งลงทุนในหุ้น Automation มากขึ้น (การขึ้นค่าแรงส่งผลดีให้หุ้นกลุ่มนี้ชัดๆ !!)
BottomLiner