เปิดแผนพัฒนา 5G ของประเทศชั้นนำ ที่อาจเป็นจุดพลิกผันขั้วอำนาจ
“ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี 5G เปรียบได้ดั่งศักดิ์ศรีประเทศ ซึ่งสหรัฐในฐานะผู้นำโลกไม่อาจยอมให้จีนชนะได้”
ช่วงปี 2019 ที่หลายประเทศเริ่มติดตั้ง 5G ในช่วงนั้นบริษัทจีนถือเป็นผู้เล่นใหญ่ในตลาด นำโดย Huawei และ ZTE ทั้งคู่ครอง Market Share ของระบบสัญญานถึง 40% เพิ่มขึ้นมาเยอะมาก (สมัย 3G มีส่วนแบ่งแค่ 20%) ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่สหรัฐยอมไม่ได้
ซึ่งก็ตามมาด้วยคำสั่งแบนเด็ดขาด ทำให้ระบบสัญญาณในสหรัฐที่แต่ก่อนเคยใช้อุปกรณ์ของบริษัทจีนถูกแทนที่ด้วยอุปกรณ์ของประเทศอื่นเกือบทั้งหมดแล้ว (Samsung, Nokia, Ericsson คือเจ้าใหญ่) โดยเฉพาะ Samsung ที่ล่าสุดประกาศร่วมมือกับ Verizon ในการวางระบบ 5G ทั่วประเทศสหรัฐ ส่งผลให้บริษัทมีแนวโน้มจะกลายเป็นผู้เล่นสำคัญในอนาคตด้วย
การมีชื่อ Samsung เป็นหนึ่งในผู้นำการวางระบบสัญญาน 5G ถือเป็นเรื่องประสบความสำเร็จตามแผนที่รัฐบาลเกาหลีใต้วางไว้ โดยเกาหลีใต้เป็นประเทศแรกๆ ที่เริ่มใช้งานระบบ 5G และขยายการติดตั้งเสาสัญญานอย่างรวดเร็วทำให้มือถือหลายรุ่นที่ออกขายใหม่ในประเทศตั้งแต่ปี 2019 สามารถใช้งานระบบ 5G ได้แล้ว (Samsung Galaxy S10 ที่เปิดตัวปีนนั้นก็มาพร้อม 5G ด้วย)
ทางด้านจีนเป็นอีกหนึ่งประเทศซึ่งมีความพร้อมด้านระบบ 5G มาก เนื่องจากรัฐบาลเห็นความสำคัญและเทเงินมหาศาลเข้ามาช่วยเร่งการขยายของเสาสัญญาน ส่งผลให้ผู้บริการเครือข่าย 3 เจ้าหลักมีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นเร็วมาก (China Telecom (HKG: 0728), China Unicom (HKG: 0762), China Mobile (HKG: 0941))
แต่อย่าคิดว่าเป็นผลดีต่อราคาหุ้นนะ เพราะทั้ง 3 ตัวเป็นรัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลจีนมักคอยบีบให้กำไรลดลง ล่าสุดก็เตรียมบังคับให้ลดราคาค่าบริการ 5G ลงอีก เพราะอยากให้คนในประเทศใช้เยอะ !! (แต่มีบริษัทอื่นได้ประโยชน์นะครับ ลองวิเคราะห์กันดู)
เสาสัญญานในจีนมีถึง 7 แสนแห่งมากที่สุดในโลก เรื่องนี้จะเป็นตัวเสริมให้เทคโนโลยีอื่นของประเทศที่ใช้ 5G เป็นแกนกลางเกิดขึ้นได้เร็วมาก
ขณะที่สหรัฐแม้เริ่มใช้งานระบบ 5G พร้อมเกาหลีใต้และจีน แต่ด้วยนโยบายที่ไม่ชัดเจนและเสียเวลากับการแบน Huawei ช่วงปีที่แล้ว ทำให้การติดตั้งเสาสัญญานในประเทศเป็นไปอย่างล่าช้า (นี่คือเหตุผลส่วนหนึ่งที่ iPhone 11 ใช้ 5G ไม่ได้ ทั้งๆ ที่มือถือค่ายจีนและเกาหลีใต้รองรับได้ตั้งแต่ปีที่แล้ว)
แต่พอขึ้นปี 2020 เหมือนว่ารัฐบาลสหรัฐจะรู้ตัวแล้วว่าตามหลังจีนมากเกินไป จึงเรียกผู้ให้บริการเครือข่ายรายใหญ่ Sprint, Verizon, T-Mobile, AT&T เข้าประชุม ซึ่งล่าสุดทั้งหมดก็ได้เงินช่วยเหลือจากรัฐบาลเพื่อนำมาขยายเร่งการติดตั้งเสาสัญญาน
ส่วนฝั่งสหภาพยุโรปหลังจากยึกยักเรื่องแบน Huawei อยู่นาน ล่าสุดประกาศว่าจะนำงบประมาณที่รัฐจะใช้กระตุ้นเศรษฐกิจหลังโควิดเข้ามาเร่งเครื่องขยายการติดตั้งเสาสัญญาน ซึ่งเยอรมนีและสหราชอาณาจักรเริ่มมีการใช้งานระบบ 5G แล้ว
5G ถูกเคลมว่ามีความหน่วง (Latency) น้อยกว่า 4G ที่ใช้ในปัจจุบันถึง 10 เท่า
และยังมีความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลสูงสุดถึง 20GB ต่อวินาที (ข้อมูลบางอันชี้ว่าอาจเพิ่มได้ถึง 100GB) ขณะที่ 4G ที่ทำได้เพียง 1GB ต่อวินาทีเท่านั้น ซึ่งประสิทธิภาพที่ดีขึ้นช่วยให้เทคโนโลยีอย่าง Autonomous Vehicles, Smart Factory หรือ AR, VR เป็นจริงได้
และสิ่งที่สำคัญมากสำหรับยุค Internet of Things คือเครือข่าย 5G รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์พร้อมกันได้จำนวนมาก
การเกิดขึ้นของ 5G ทำให้ระบบเสาสัญญานต้องเพิ่มอุปกรณ์ใหม่เข้ามา เช่น Small Cells ที่เป็นตัวช่วยเพิ่มการกระจายสัญญานในแหล่งที่ปริมานการใช้ Internet สูง หรือ MIMO Beamforming ที่เป็นตัวรวมสัญญานจากเสาอากาศก่อนยิงไปยังปลายทาง (ขอไม่ลงรายละเอียดอุปกรณ์เพราะมันจะลึกเกินไป)
การเร่งติดตั้งและใช้งานระบบ 5G (ส่วนใหญ่ใช้ในมือถือก่อน) เป็นผลดีต่อหุ้น Qualcomm, Qorvo, Skyworks Solutions ซึ่งตอนแรกตลาดประเมินว่ามือถือระดับราคา 3 หมื่นบาทขึ้นเท่านั้นถึงจะรองรับระบบ 5G แต่ล่าสุด Xiaomi ประกาศว่า Redmi 10X ก็รองรับ 5G และขายในราคาประมาณ 10,000 บาทเท่านั้น ! เช่นเดียวกันกับแบรนด์จีนอื่นที่วางขายมือถือรุ่น Mass ให้ใช้ 5G ได้ ยิ่งจะช่วยเร่งให้การขยายตัวรวดเร็วขึ้น
อุตสาหกรรมต่อมาที่น่าจับตาก็คือ Autonomous Vehicles, AR, VR, Drones ที่อาจได้เห็นหุ้นผู้ชนะทะยานตัวเร็วๆ นี้ครับ !!