การเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงและถาวรของเศรษฐกิจ การเมือง และเทคโนโลยีหลังการแพร่ระบาด Coronavirus ตอนที่ 2: การเมืองโลกเมื่อตำแหน่งผู้นำถูกท้าทาย
ซีรีย์บทความ ”การเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงและถาวรของเศรษฐกิจ การเมือง และเทคโนโลยีหลังการแพร่ระบาด Coronavirus”
ตอนที่ 2: การเมืองโลกเมื่อตำแหน่งผู้นำถูกท้าทาย
บริษัทหรือประเทศที่มีผู้นำสูงสุดเพียงตำแหน่งเดียว ย่อมมีความขัดแย้งในการบริหารน้อยอย่างไม่ต้องสงสัย เนื่องจากไม่ว่าผู้นำต้องการอะไร ผู้ตามมักจะต้องปฏิบัติตามนั้น แม้จะมีการคัดค้านแต่ทางเลือกที่เสนอก็ยังไม่ทำให้ผู้นำเสียผลประโยชน์มากนัก (หรืออาจได้ผลประโยชน์เพิ่มด้วย)
การเมืองโลกก็เช่นกันเมื่อประเทศมหาอำนาจอันดับ 1 เหนือกว่าผู้อื่นอย่างชัดเจน ประเทศเล็กๆ ก็ต้องเดินในแนวทางที่ถูกกำหนดและปรับเปลี่ยนได้ตามผู้นำ
และเรื่องนี้ได้เกิดขึ้นตั้งแต่หลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อสหรัฐมีความพร้อมทุกประการต่อตำแหน่งผู้นำโลก ไล่ตั้งแต่ 1.) เป็นผู้ชนะ 2.) ประเทศได้รับความเสียหายจากสงครามเพียงเล็กน้อย และ 3.) จำนวนประชากรเยอะ สหรัฐจึงเริ่มเล่นบทบาทผู้นำโลกด้วยการจัดตั้ง UN ในปี 1945 เพื่อมากำหนดระเบียบโลก
แนวทางพัฒนาเศรษฐกิจระบบทุนนิยมที่มอบความร่ำรวยให้ผู้สร้างผลผลิตมากเป็นแรงจูงใจชั้นดีให้เศรษฐกิจสหรัฐ โดยรายได้คนในประเทศเพิ่มขึ้นติดต่อกัน ส่งผลให้ในช่วงยุค 1950 ชนชั้นกลางหรือ Middle-Class ของสหรัฐ มีขนาดราว 60% ของจำนวนประชากรและเป็นสัดส่วนใหญ่ที่สุด เมื่อเทียบกับเพียง 30% ก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 (คนสหรัฐรวยขึ้นมากในช่วงนี้)
การพัฒนาประสิทธิภาพเป็นตัวพิสูจน์ว่าช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในชีวิต ทำให้แรงงานมีการพัฒนาผลผลิต แปรมาเป็นรายได้ในกระเป๋าที่สูงขึ้น สังคมอเมริกาในยุคนั้นมากกว่า 80% มีโทรทัศน์และ 70% มีรถยนต์ขับ ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีมากเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นซึ่งอยู่ในช่วงการฟื้นฟูหลังสงคราม
เมื่อสถานการณ์ภายในมีความมั่นคง (ประชาชนอยู่ดีกินดี) การเมืองจึงสามารถดำเนินนโยบายต่างประเทศเป็นอิสระ ซึ่งในช่วงนั้นสหภาพโซเวียตเป็นผู้ท้าทายบทบาทผู้นำโลก โดยรัฐบาลสหรัฐที่ชูระบบทุนนิยมถูกขัดขวางด้วยลัทธิคอมมิวนิสต์ที่เชื่อว่าผลผลิตควรถูกแบ่งอย่างเท่าเทียม
(อย่าสับสนระหว่างประชาธิปไตยกับทุนนิยม อันแรกเป็นระบบปกครองใช้เสียงข้างมาก ส่วนอันหลังเป็นระบบเศรษฐกิจสนับสนุนให้แข่งขันผลิตเสรี)
เมื่อระบบทุนนิยมของสหรัฐถูกขัดขวาง รัฐบาลสหรัฐจึงต้องเริ่มแผนทำลายคู่ขัดแย้ง ส่งผลให้เกิดสงครามเย็นระหว่างสหรัฐและสหภาพโซเวียต เปิดฉากสนามรบในความขัดแย้งเกาหลี โดย UN (ฝั่งสหรัฐ) เข้าประกาศสงครามต่อกองทัพเกาหลีเหนือ (ฝั่งโซเวียต) ที่กำลังจะยึดพื้นที่รวมเกาหลีเป็นหนึ่งประเทศ (ผลจบด้วยเกาหลีถูกแบ่งเป็นฝั่งเหนือและใต้)
ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐ-สหภาพโซเวียตสร้างสงครามตัวแทนขึ้นในหลายพื้นที่ แต่ด้วยระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมของโซเวียตที่ไม่ได้สร้างแรงจูงใจให้เกิดการพัฒนาประสิทธิภาพ สุดท้ายแล้วสหภาพโซเวียตก็ล่มสลายและความเสื่อมในระบบคอมมิวนิสต์
ช่วงที่เป้าหมายของรัฐบาลสหรัฐคือการหยุดยั้งอิทธิพลสหภาพโซเวียต เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่จีนและสหภาพโซเวียตกำลังขัดแย้งกัน รัฐบาลสหรัฐจึงเดินหน้าดึงจีนมาเป็นพวก จนกระทั่งปี 1972 ประธานาธิบดี Richard Nixon เดินทางเยือนปักกิ่งกระชับความสัมพันธ์ ตามมาด้วยอนุมัติจีนเข้าร่วมกลุ่ม UN และเป็นหนึ่งในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติถือเป็นการเปิดบทบาทจีนในเวทีโลกนับตั้งแต่นั้น
บริษัทจีนภายใต้เงินอุดหนุนจากรัฐบาล และฐานแรงงานราคาถูกจำนวนมหาศาล รวมถึงการเข้าร่วม WTO ทำให้บริษัทในประเทศสามารถส่งสินค้าราคาถูกตีตลาดทั่วโลก ซึ่งข้อได้เปรียบเหล่านี้เสริมให้นายทุนจากทั่วโลกเข้าไปเปิดโรงงานในจีน เป็นเหตุผลสำคัญให้แรงงานในสหรัฐรู้สึกเสียผลประโยชน์และสูญเสียตำแหน่งงานให้คนจีน
ความโกรธแค้นของคนสหรัฐถูก Donald Trump นำมาเป็นนโยบายหาเสียง “American First” หมายความว่าต่อจากนี้คนในประเทศต้องได้ประโยชน์ก่อนเสมอ เมื่อเข้ารับตำแหน่งจึงจัดการแก้สัญญาระหว่างประเทศใหม่ด้วยเป้าหมายการดึงฐานการผลิตกลับประเทศ ข่มขู่ชาติอื่นที่พยายามลดผลประโยชน์ ไทยเรายังไม่รอดหลังพยายามห้ามนำเข้าสารเคมีเกษตรกลับเจอหวดกลับลดสิทธิ GSP มูลค่า 4 หมื่นล้านบาท
แต่เป้าหมายสำคัญของการเมืองสหรัฐคือจีน ผู้ขึ้นมาท้าทายตำแหน่งผู้นำ สิ่งที่จีนขาดมาตลอดคือความโปร่งใส และ Trump รู้เรื่องนี้ดี แม้เขามักพูดโดยไม่มีหลักฐานอยู่บ่อยครั้ง แต่ประเด็นที่กล่าวหาว่าจีนทำ Coronavirus หลุดจากห้องทดลองและร่วมมือกับ WHO ปิดบังก็ถูกคนทั่วไปตั้งข้อสังเกตเช่นกัน
แสดงให้เห็นว่าต่อจากนี้จีนจะต้องทำให้ตัวเองน่าเชื่อถือและเปิดเผยข้อมูลต่อโลกเพื่อก้าวเข้าใกล้ตำแหน่งผู้นำโลกมากขึ้นอีก
สถานการณ์ในปัจจุบันเหมือนในประวัติศาสตร์ทุกครั้ง เมื่อตำแหน่งผู้นำโลกถูกท้าทายจะเกิดความขัดแย้งสูงขึ้นและหลีกเลี่ยงความร่วมมือในระดับประเทศหรือที่เราเรียกกันว่า “Deglobalization” และ “Protectionism” ซึ่งการลงทุนต่อจากนี้จะต้องใส่สมการนี้เข้าไปเสมอและเรากำลังเดินหน้าเข้าสู่โลกใหม่ที่เหตุการณ์หลายอย่างกำลังถูกเปลี่ยนซึ่งเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยเห็นในชีวิต
ติดตามต่อตอนที่ 3: จากโลกที่ 3 สู่มหาอำนาจจีน
ถ้าชอบบทความนี้ช่วยแชร์ให้เพื่อนคุณได้อ่านด้วย
แอดมินแนท
BottomLiner