ลงทุนยุคใหม่ ต้องรู้ทันอนาคตด้วย Alternative Data
บอกลาการลงทุนแบบเดิมๆ เพราะลงทุนยุคใหม่ ต้องรู้ทันอนาคตด้วย Alternative Data
รู้หรือไม่ ในขณะที่นักลงทุนหลายท่านกำลังเชื่อว่า Robot Trade, Algorightmic Trading และ Articifial Intelligence (AI) จะเอาชนะพวกเราชาวเม่าหรือเม่าปีกเหล็ก หรือแม้แต่เหล่าเซียนที่ทำงานในสายอาชีพการลงทุน
บรรดา Hedge Fund ชั้นนำด้าน Algo Trading และลักษณะที่เป็น plug-in hybrid (ไม่ใช่รถยนต์นะครับ) หรือ set parameter ให้กับโมเดลเพื่อสแกนหาหุ้นและจังหวะเข้าออก กำลังพ่ายแพ้ และถึงขั้นต้องลดค่าธรรมเนียม เดิมเป็นเพราะแพ้กับตลาด buy & hold เนื่องจากหุ้นขึ้นขาเดียว แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงหุ้นผันผวนในตอนนี้ ก็ยังพ่ายแพ้ ให้กับคู่แข่ง ที่ใช้ Alternative Data
หลายท่านอาจจะคิดว่า เพราะว่ามันไม่ได้บอกว่างบกำไรจะเติบโตดี หรือไม่รู้ว่ายอดขายจะไม่ดีแล้ว เพราะมันเป็นอดีต … คำตอบเหล่านั้น ก็มีส่วนถูกบ้าง แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือ
เขากำลังพ่ายแพ้เพราะเขาใช้ Data ที่ ช้า กว่าคู่แข่ง
ช้า ไม่ใช่เก่า
ในขณะที่ตัวเลขในงบการเงินนั้นสะท้อนอดีต จะทำอย่างไรให้รู้อนาคต
ยกตัวอย่างง่ายที่สุดก็คือ
ธุรกิจร้านขายเสื้อผ้า แทนที่จะรอให้งบออก จริงๆถ้าคุณไปยืนเฝ้าหน้าร้าน นับคนเข้าทุกวัน ก็จะพอประมาณได้ว่า รายได้จะดีไหม ตั้งแต่งบยังไม่ออก (เพราะปิดไตรมาสยังต้องรออีกหลักเดือน กว่าจะประกาศ แต่ถ้าคุณไปยืนนับ จบไตรมาสก็รู้แล้วว่าคนกินกี่คน รายได้จะเป็นประมาณเท่าไหร่)
แต่ถ้าธุรกิจนี้ไม่ได้มีแค่ ร้านเดียวล่ะ? (ซึ่งจริงแสนจะจริง มีกันเป็นร้อยเป็นพันสาขา)
จุดนี้เองที่ Big Data เข้ามาเป็นประโยชน์ ถ้าใครเข้าถึง Big Data เหล่านั้นได้และวิเคราะห์ได้ก่อน ผู้นั้นก็ชนะในเรื่องนี้ โชคยังดีที่หุ้นไม่ได้ขึ้นลงตามจำนวนคนเข้าร้าน มันมีปัจจัยอื่นอีกมากๆ
คำถามถัดมาคือ แล้วถ้าเป็นเรื่องอื่นๆล่ะ ใช้ Data อะไร
ยกตัวอย่างเดิม ถ้าร้านขายเสื้อผ้า ขายออนไลน์ด้วย !!!
โอยย ตายๆ ต้องไปนั่งนับชาวเน็ต จะนับอย่างไร?
จริงๆแล้วมันก็มีอยุ่ คำถามที่น่าสนใจคือ คุณจะนับอะไร มากกว่า
เช่น
website visitor
social media post
credit card transaction
และอืนๆอีกเยอะมากๆ
หรืออะไรที่ไม่กระทบงบกำไรโดยตรงเช่น ข่าว การพูดถึงใน social ก็นำมาใช้ประโยชน์ได้
ข้อมูลพวกนี้ ก็คือสิ่งที่เราเรียกกันว่า Alternative Data นั่นเอง ซึ่งมันสะท้อนยอดขายได้จริงๆ และได้ข้อมูลรวดเร็วกว่าตัวเลขยอดค้าปลีก ที่ประกาศ หรือข้อมูลเศรษฐกิจและการเงิน ที่ออกทุกเดือน ทุกไตรมาส
แต่การตีความว่าอะไรมีผล อะไรไม่มีผล อะไร lead หุ้น หรือ factor ที่สำคัญๆที่กระทบหุ้น มันไม่ง่ายเลย การดูด้วยตา และใช้สมองตามก็ทำได้ แต่ให้ทำทั้งหมดคงไม่ไหว
จุดนี้เองที่ Artificial Intelligence (AI) และ Machine Learning เข้ามาเป็นพระเอก เพราะมันสามารถตีความได้ว่า อะไรสำคัญ อะไรไม่สำคัญ และมีผลกระทบอธิบายราคาได้เท่าไหร่? ทำให้คำว่า Alternative Data พึ่งมาบูม ในช่วงหลัง
ตอนนี้ไม่ใช่แค่ hedge fund แต่กองทุนทั่วไปก็เริ่มๆจะนำมาใช้แล้วในต่างประเทศ
แล้วคุณล่ะ ได้เริ่มใช้ Alternative Data บ้างหรือยัง?
BottomLiner รายงาน