Emerging Market และ Frontier Market มุ่งสู่วิกฤตจริงหรือ?
Emerging Market และ Frontier Market มุ่งสู่วิกฤตจริงหรือ? // โดย BottomLiner
ในขณะที่หุ้นไทยทิ้งตัวรวดเดียวมาถึง 100 จุด เชื่อหรือไม่ว่าหุ้นไทยนั้นลงน้อยมาก ลงหนักๆเห็นจะเพื่อนๆกลุ่มตลาด Emerging market ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นจีน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และ Frontier market หรือตลาดประเทศกำลังพัฒนาและชายขอบ อย่างหุ้นเวียตนามก็ลงอย่างดุเดือดกว่า 20% แต่หุ้นที่คนไทยเล่นนั้นเจ็บหนักหน่วงกว่านั้นมาก
มันเกิดอะไรขึ้นตอนนี้ ปัจจัยหลักๆคือ
1. สถานการณ์ค่าเงินดอลลารแข็งค่าขึ้น หลังจากอ่อนมายาวนาน
2. อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯที่พุ่งทะยานขึ้น จากการขึ้นดอกเบี้ย
3. กระแสการเมืองที่ผันผวนในยุโรป โดยเฉพาะอิตาลี
4. ภาวะสงครามการค้าโดยท่านประธานาธิบดี Trump (เป็นส่วนใหญ่) .. ล่าสุดจะไปมีเรื่องกับแถบยุโรป แคนาดาต่อ
โดยรายงานจาก Economist Intelligence Unit มองว่าสถานการณ์ในอารเจนตินา (จริงๆก็เข้าขั้นวิกฤต) มีส่วนเป็นอย่างมากในเป็นชนวนของการ นองเลือดในกลุ่ม emerging และ frontier รอบนี้
เกิดอะไรขึ้นที่อาร์เจนตินา? ยาวหน่อยแต่อ่านเถอะ จะได้โม้ใส่เพื่อนได้
หลายคนที่ติดตามข่าวคงทราบอยู่แล้วว่าประเทศนี้พึ่งจะเผชิญกับสถานการณ์ที่ท้าทายเป็นอย่างมาก เพื่อที่จะผยุงค่าเงินเปโซที่อ่อนลงมาอย่างรวดเร็วและต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งทะยานไม่หยุดหย่อน รัฐบาลอาร์เจนตินาเลือกที่ใช้วิธีขึ้นดอกเบี้ยถึงสามครั้งใน เวลาแค่ 8 วัน จนดอกเบี้ยล่าสุดมาอยู่ที่ 40% !!! แน่นอนว่าตลาดหุ้น Merval ก็ต้องเกิดการ Panic โดนขายทุบลงมาอย่างฉับพลัน
เหตุการณ์ครั้งนี้ถือว่าค่อนข้างเซอร์ไพรส์ตลาด เนื่องจากปีที่แล้วอาร์เจนตินาถือเป็นอีกประเทศที่เนื้อหอมมาก หลังได้ Mauricio Macri มาเป็นผู้นำประเทศคนแรกในรอบ 14 ปี ที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นประชาธิปไตยโดยที่ไม่ใช่เป็น Peronist หรือ ฝ่ายการเมืองขวาสุดๆ (Populist) ที่ปกครองประเทศมาอย่างยาวนาน ก็ไม่แปลกที่กองทุนและนักลงทุนต่างมองประเทศนี้เป็นบวก เงินลงทุนไหลเข้ามาในตลาดหุ้นจนขึ้นมาเกือบเท่าตัวในปี 2017
และน้ำขึ้นต้องรีบตักครับ ด้วย sentiment ตลาดที่ดูมั่นใจสุดขีด รัฐบาลก็ไม่รอช้าปีที่แล้วจึงออกพันธบัตรอายุ 100 ปีไปเลย (ผลตอบแทน 8%) หนำซ้ำยังเป็นสกุลดอลลาร์อีกซะด้วย แต่สิ่งที่น่าแปลกใจยิ่งกว่าคือขายหมดเกลี้ยง สะท้อนให้เห็นถึงความหิวโหยใน yield ของนักลงทุนทั่วโลก
แต่ความล้มเหลวที่จะแก้ปัญหาเงินเฟ้อระดับ 20% ที่ยังคงเป็นเหมือนโรคเรื้อรัง การขาดดุลการค้าที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ หนี้สกุลต่างประเทศกองพะเนิน ทุนสำรองอันน้อยนิด เมื่อมาเจอความไม่แน่นอนและความผันผวนทั่วโลกในปีนี้ทั้งผลตอบแทนพันธบัตรอเมริกาและการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ สุดท้ายค่าเงินเปโซก็โดนกระหน่ำขาย โดยค่าเงินเปโซอ่อนลงมาถึง 20% แล้วนับแต่ต้นปี ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อค่าเงินอ่อน หนี้สกุลเงินตราต่างประเทศก็สูงขึ้นตามมาเช่นกัน ส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงจากจุดสูงสุดในเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ถึง 22%
แล้วประเทศอื่นๆในกลุ่ม จะกระทบอย่างไร?
หลังจากที่พันธบัตร 100 ปี แถมยังเป็น Dollar Denominated ของประเทศที่เคยล้มละลายไปแล้วถึง 8 ครั้ง ในรอบ 200ปี อย่างอาร์เจนติน่าขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเนื่องจากความต้องการในผลตอบแทนที่สูง ประเทศอื่นๆในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาและชายขอบก็พากันเฮโลออกพันธบัตรเป็นสกุลดอลลาร์และยูโรกันเป็นขบวนพาเหรด อาทิเช่น ตุรกี อินโดนีเซีย เคนย่า อียิปต์ ไนจีเรีย ฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะในภาคเอกชน
โดยบริษัทที่มีการออกตราสารหนี้ในลักษณะนี้ที่ค่อนข้างเยอะอย่างมีนัยยะก็จะเป็นตุรกีและอินโดนีเซีย
เราลองเข้าไปดูตัวเลขหนี้ต่างประเทศ ดุลบัญชี และค่าเงินของประเทศเหล่านี้กัน
สัดส่วนหนี้ต่างประเทศต่อทุนสำรอง | ดุลบัญชีเดินสะพัดต่อ GDP | ค่าเงินเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
(31 ธค 60 – 1 มิย 61) |
ผลตอบแทนตลาดหุ้น
จากจุดสูงสุดปี 2018 |
|
อาร์เจนติน่า | 400% | -4.8% | -34.3% | -29.9% |
ตุรกี | 537% | -5.6% | -22.7% | -18.4% |
บราซิล | 147% | -0.5% | -13.6% | -9.1% |
อินเดีย | 122% | -1.5% | -4.9% | -3.3% |
ฟิลิปปินส์ | 100% | -1.0% | -4.9% | -15.9% |
อินโดนีเซีย | 270% | -1.7% | -2.5% | -10.6% |
แอฟริกาใต้ | 335% | -2.5% | -2.5% | -9.4% |
ไทย | 67% | 10.0% | 1.9% | -7.2% |
ที่มา : รวบรวมโดยฝ่ายวิจัยธุรกิจ, EXIM BANK
ตีพิมพ์ : หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ 14-16 พ.ค. 61
พอหลังจากที่เกิดการ panic ในอาร์เจนติน่า บวกกับผลตอบแทนตราสารหนี้อเมริกาที่สูงขึ้น ผลที่ตามมาคือการขายออกจากประเทศกำลังพัฒนาและชายขอบโดยเฉพาะประเทศที่มีสถานะการเงินที่อ่อนแอ
ดังที่เห็นจากตารางข้างบนจะเห็นว่ามีหลายประเทศที่มีสัดส่วนเงินทุนสำรองต่ำกว่าหนี้ต่างประเทศ แถมค่าเงินก็อ่อนจนน่าเป็นห่วง ซ้ำร้ายคือประเทศเหล่านี้มักจะพึ่งพาการส่งออก commodity เป็นหลัก ซึ่งช่วงหลังมีราคาที่ต่ำจากแข่งขันและ supply ที่สูงมากขึ้น จึงไม่น่าไปช่วยหักล้างการขาดดุลจากภาระการนำเข้าที่สูงขึ้นจากค่าเงินได้มากนัก ตลาดจึงมองว่าประเทศเหล่านี้มีความเสี่ยงที่สูง และเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ในช่วงที่ตลาดโลกมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนสูง นักลงทุนย่อมต้องหนีออกจากสินทรัพย์ที่เสี่ยงที่สุดก่อน
สิ่งที่ตลาดกังวลอีกอย่างก็คือ มีตัวเลขประเมินออกมาว่าภาย ในปี 2018 นี้ บริษัทในประเทศกำลังพัฒนาจะมีหนี้ดอลลาร์ที่ถึงเวลาชำระถึง 3 แสน 4 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราวๆ 10 ล้านล้านบาท ปัญหาคือค่าเงินในประเทศเหล่านี้โดยเฉพาะตุรกี (lira) หรืออินโดนีเซีย (rupiah) อ่อนลงมามากเหลือเกินโดยเฉพาะ 4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งหมายถึงหนี้ที่คืนก็ต้องสูงมากขึ้นตามกัน แล้วบริษัทเหล่านี้จะจ่ายคืนไหวหรือ?
พอหลังจากที่เกิดการ panic ในอาร์เจนติน่า บวกกับผลตอบแทนตราสารหนี้อเมริกาที่สูงขึ้น ผลที่ตามมาคือการขายออกจากประเทศกำลังพัฒนาและชายขอบโดยเฉพาะประเทศที่มีสถานะการเงินที่อ่อนแอ
ดังที่เห็นจากตารางข้างบนจะเห็นว่ามีหลายประเทศที่มีสัดส่วนเงินทุนสำรองต่ำกว่าหนี้ต่างประเทศ แถมค่าเงินก็อ่อนจนน่าเป็นห่วง ซ้ำร้ายคือประเทศเหล่านี้มักจะพึ่งพาการส่งออก commodity เป็นหลัก ซึ่งช่วงหลังมีราคาที่ต่ำจากแข่งขันและ supply ที่สูงมากขึ้น จึงไม่น่าไปช่วยหักล้างการขาดดุลจากภาระการนำเข้าที่สูงขึ้นจากค่าเงินได้มากนัก ตลาดจึงมองว่าประเทศเหล่านี้มีความเสี่ยงที่สูง และเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ในช่วงที่ตลาดโลกมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนสูง นักลงทุนย่อมต้องหนีออกจากสินทรัพย์ที่เสี่ยงที่สุดก่อน
ดังนั้นหากดอลลาร์แข็งขึ้นมาจะเป็นตัวจุดชนวนอาการ “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย” แบบที่ผ่านๆมากันหมด ซึ่งตรงนี้ก็ต้องวัดกันครับ ว่า ECB และ BoJ จะทำอะไร มีผลต่อค่าเงินดอลลาร์ขนาดไหน ในขณะที่ทรัมป์เอง ก็ไม่รู้จะทำอะไรแผลงๆให้ค่าเงินสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นมาหรือไม่?
แล้วประเทศไทยล่ะ?
ด้วยเดชะบุญการท่องเที่ยวบูมของเรา กอปรกับ เคยผ่านวิกฤตต้มยำกุ้งมาแล้ว บ้านเราเงินทุนสำรอง สูง และหนี้ดอลลาร์ไม่ได้เยอะขนาดนั้น ในมุมนี้ จึงยังดูดีที่สุดในตลาดเกิดใหม่เลยก็ว่าได้
BottomLiner
ติดตาม BottomLiner ทาง Facebook ได้ที่ https://www.facebook.com/bottomliner/