Industrial Revolution: พลิกโฉมโลกอุตสาหกรรม
ตั้งแต่อดีตจนทุกวันนี้เราผ่านการปฏิวัติอุตสาหกรรมมาทั้งสิ้น 3 ครั้ง และตอนนี้เรากำลังอยู่ในการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4
แต่ละครั้งจะมีนวัตกรรมเป็นตัวกระตุ้น ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมหาศาล เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต หรือลดเวลา และค่าใช้จ่ายลงอย่างมาก
การปฏิวัติครั้งแรก (พ.ศ. 2300 – 2360) โลกรู้จักอุตสาหกรรมหนัก มีการนำเครื่องจักรไอน้ำมาใช้ ธุรกิจที่ได้ประโยชน์คือ สิ่งทอ อุตสาหกรรมเหล็ก การเกษตร เหมืองแร่
การปฏิวัติครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2414 – 2457) โลกรู้จักการผลิตแบบเยอะ ๆ (mass product) เป็นครั้งแรก วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว มีการสร้างเครือข่ายรถไฟ โทรเลข ทำให้มีความสามารถในการถ่ายโอนผู้คน วัสดุ วัตถุดิบ รวมถึงถ่ายโอนความคิดและการสื่อสาร
ต่อมามีการผลิตยานยนต์ ระบบไฟฟ้า เศรษฐกิจเติบโตขึ้นอย่างมาก และการว่างงานเกิดขึ้นสุงขึ้นต่อเนื่องจากการแทนที่แรงงานด้วยเครื่องจักร
การปฏิวัติครั้งที่ 3 (พ.ศ. 2488 เป็นต้นมา) เราเรียกกว่าปฏิวัติครั้งนี้ว่า “การปฏิวัติดิจิตอล” เกิดหลังจากช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในรูปแบบอนาล็อคเริ่มเปลี่ยนเป็นดิจิตอล เกิดคอมพิวเตอร์ฐานสอง และ Boolean Logic ทำให้เกิดการพัฒนาดิจิตอลขั้นสูงขึ้นในทศวรรษต่อมา
เกิดซูเปอร์คอมพิวเตอร์ มีการนำระบบคอมพิวเตอร์มาใช้อย่างกว้างขวาง เครื่องจักรสามารถทำงานได้โดยไม่ต้องใช้พละกำลังของมนุษย์เพราะมีระบบแขนกล หุ่นยนต์เข้ามา ระบบการสื่อสารที่เร็วขึ้น การเกิดขึ้นของมือถือ อินเตอร์เน็ต ทำให้โลกก้าวเข้าสู่ยุคโลกาภิวัฒน์ที่โลกทั้งใบเชื่อมต่อเข้าหากัน
การปฏิวัติครั้งที่ 4 (ปัจจุบัน) เกิดการกล่าวถึงและเริ่มใช้โดย Klaus Schwab ประธานบริหารสภาเศรษฐกิจโลก เมื่อปีพ.ศ. 2558 โดยมองว่าจะเกิดการผสมผสานกันระหว่าง ซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และ ชีววิทยา โดยทั้งหมดทำงานเชื่อมต่อกันและกัน และนำข้อมูลมาประยุกต์ใช้ต่อยอด
ความเร็วในการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างมากจากยุคก่อนหน้ามีผลอย่างมาก ความเร็วอินเตอร์เน็ตเพิ่มจากหน่วย Kb/s มาเป็น Gb/s ให้โลกเชื่อมต่อกับ Realtime ตลอดเวลา ระบบประมวลผล การจัดเก็บข้อมูลที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้เกิดการพัฒนา AI ขึ้นอย่างรวดเร็ว
องค์ประกอบอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งนี้เช่น Smart phone, IoT, GPS, Smart Sensor เป็นต้น
ทุกการปฏิวัติอุตสาหกรรมจะมีสิ่งเก่าที่ถูกแทนที่เสมอ และมันเร่งตัวเร็วขึ้นเรื่อย ๆ จากที่กินเวลา 60 ปีในครั้งแรก และเกิดขึ้นแค่ในบางประเทศ แต่ปัจจุบันมันเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งโลก ผู้ที่พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงจะอยู่รอด ผู้ที่ไม่พร้อมจะถูกโลกบีบให้ตายจากไป
Bottomliner