“Responsible Investing” เทรนด์การลงทุนของศตวรรษใหม่
Responsible Investing หรือบางคนก็เรียกว่า Sustainable Investing นั่นคืออะไร? แตกต่างจากการลงทุนทั่วไปยังไง?
อย่างที่รู้กัน เวลาเราจะลงทุนอะไร เราก็จะดูที่กำไรของบริษัทเป็นหลัก หรือที่เรียกว่า bottom line บริษัทไหนกำไรดี เราก็ลงทุน แล้วก็หวังว่าน่าผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน
แต่ว่ากำไรอย่างเดียว อาจไม่ได้ทำให้สังคมโดยรวมเราดีขึ้นและยั่งยืน บางบริษัทกำไรดีเพราะไม่มีการลงทุนในด้านการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม ปล่อยแก๊ซเรือนกระจก (GHG) ออกมาส่งผลเสียต่อส่วนรวม บางบริษัทกำไรสูงจริง เพราะประหยัดกับลูกจ้างมากๆ สวัสดิการแย่ สถานที่ทำงานแย่
ภาพข้างล่างคือรูปแบบการลงทุนต่างๆ ตั้งแต่การลงทุนแบบดั้งเดิม (traditional investments) ขยับไปด้านขวาก็คือการลงทุนที่คำนึงถึงผลกระทบทางสังคมมาขึ้นเรื่อยๆ ไปจนถึงการบริจาค (donation)
ในโลกปัจจุบัน คนยุคใหม่ (Millennial) ให้ความสำคัญกับปัญหาโลกร้อน ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาความเท่าเทียมในที่ทำงาน และความโปร่งใสของบริษัท บริษัทไหนทำเรื่องแย่ๆต่อสังคมหรือสิ่งแวดล้อม ไม่นานข่าวก็แพร่สะพัดไปในโซเชียลมีเดีย ถูกประนามไปทั่วโลก
Sustainable investing คือการลงทุนที่คำนึงถึงความยั่งยืนในระยะยาวด้วย ไม่ได้คำนึงถึงกำไรของบริษัทเพียงอย่างเดียว ดังนั่นรูปแบบการลงทุนนี้จึงเป็นเทรนด์การลงทุนที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ
ในอเมริกาเอง 4 ปีที่ผ่านมา เม็ดเงินที่ลงทุนด้านนี้เติมโตเป็นเท่าตัว เม็ดเงินที่ลงทุนแบบ sustainable investing เติบโตจาก $6 ล้านล้านดอลลหาห์ ในปี 2012 เป็นถึง $12 ล้านล้านดอลล่าห์ เฉลี่ยโตปีละ 25% และไม่มีทีท่าจะหยุดง่ายๆ
แล้วทำอย่างไรให้การลงทุนแบบนี้เห็นผลอย่างเป็นรูปประธรรม ไม่เหมือนแค่การที่บริษัททำกิจกรรม CSR ที่วัดผลอะไรไม่ได้เท่าไหร่
สิ่งที่เรียกว่า ESG เลยเกิดขึ้น ESG คือเกณฑ์การลงทุนที่คำนึกถึงประเด็นหลัก 3 ด้าน ได้แก่ด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) ด้านบรรษัท (Governance) และด้านสังคม (Social)
นอกเหนือจากกำไรของบริษัท นักลงทุนจะใช้เกณฑ์เหล่านี้ในการตัดสินใจในการลงทุน การลงทุนในโลกปัจจุบัน bottom line จึงไม่ถูกจำกัดแค่กำไรที่เป็นตัวเงินเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงกำไรสู่สังคมในรูปแบบต่างๆ
แล้ว ESG จะส่งผลอย่างมีนัยยะต่อสังคมโดยรวมจริงๆ หรือ?
แน่นอนว่า ESG จะไม่มีผลในวงกว้างเลยหากบริษัทหรือหน่วยงานที่เกี่ยวกับการลงทุนไม่ลงมามีส่วนร่วมด้วย
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันเราเห็นว่ากองทุนแนวหน้าระดับโลกก็เริ่มใช้เกณฑ์นี้ในการลงทุนแล้ว บริษัทอย่าง S&P ที่เป็นผู้ให้คะแนน Credit Rating ก็ใช้ ESG ในการพิจารณาความเสี่ยงของบริษัท
S&P และ MSCI ซึ่งเป็นผู้สร้างดัชนี (Index) ต่างๆ ที่กองทุนทั่วโลกนำมาเป็น Benchmark ของกองทุน ก็ได้สร้างดัชนีที่ใช้เกณฑ์ ESG ในการเลือกหุ้นเข้ามาอยู่ในดัชนี
บริษัทไหนได้ไปอยู่ใน Benchmark นี้ก็จะมีเงินจากกองทุนมาลงทุน ส่วนบริษัทไหนไม่ผ่านเกณฑ์ ESG หรือมีข่าวร้ายที่เกี่ยวกับ 3 ประเด็นนี้ก็จะถูกกองทุนเหล่านี้เทขาย
อย่างในกรณีหุ้น Volkswagen ที่บิดเบือนข้อมูลด้วยการปล่อยแก๊ซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ของรถยนต์ดีเซล ในปี 2015 ที่ราคาหุ้นลงไปมากกว่า 50% ในระยะเวลา 6 เดือนหรือจะเป็นกรณีหุ้นผู้ผลิตบุหรี่ที่เคยผู้ถึงก่อนหน้านี้ กดลิ้งอ่านที่นี่
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ESG จะมีผลกับผลตอบแทนในการลงทุนขนาดไหน ในอนาคตหากเราพูดถึง bottom line ของบริษัท เราจึงหมายถึงกำไรที่เป็นเงินและผลจาก ESG ด้วย
การลงทุนในหุ้นไทยนั่น เกณฑ์ ESG อาจจะยังต้องใช้เวลาสักพัก เพื่อที่จะมีผลกระทบในวงกว้าง เนื่องจากการใช้กฏหมาย (Law enforcement) ที่ยังไม่มีประสิทธิภาพมากนัก และกลุ่มแรงงาน หรือองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมที่ยังไม่มีพลังเท่าไหร่
แต่สำหรับหุ้นในตลาดหลักๆ อย่างในอเมริกาหรือยุโรป ESG นั่นเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องเริ่มหันมาให้ความสำคัญกันแล้วครับ
ติดตาม BottomLiner ได้ที่
– ติดตามเพจ BottomLiner : บทสรุปการลงทุน อย่าลืมตั้งค่า See First เพื่อไม่ให้พลาดทุกโพสต์ใหม่
– ไลน์ ก็อ่านบทความได้ @Bottomliner
Source :
https://www.ussif.org/sribasics
https://www.credit-suisse.com/ch/en/asset-management/esg-investing/from-philanthropy-to-esg.html