ใครทำอะไรหุ้นไทย ดอยนี้ยังไงต่อดี?
ใครทำอะไรหุ้นไทย ดอยนี้ยังไงต่อดี?
หลายท่านอาจสงสัย หุ้นไทยเป็นอะไร ถ้าใครที่ตามดูตลาดเพื่อนบ้านจะรู้ว่า ปู่ SET รู้สึกตัวช้า คือเพื่อนๆเขาถล่มทลายกันไปแล้ว หุ้นไทยพึ่งมาลงแรงๆ สองวันติด
BottomLiner ขอแบ่งการขายเป็น 2 ระลอก ครับ
- กระแส America First ขายประเทศที่อ่อนแอ โดยเฉพาะประเทศที่มี หนี้ เป็นดอลลาร์เยอะ โดยเฉพาะกลุ่มตลาดเกิดใหม่ รอบนี้ไทยไม่ค่อยโดน (ถึงสัปดาห์ที่แล้ว)
- Trade War มาอีกแล้ว vs ECB รัดเข็มขัด vs รัสเซียเทขายพันธบัตร US ครึ่งหนึ่ง มาเต็มไปหมด แต่ไม่ว่าจะเรื่องไหน หรือมีเรื่องอะไรที่พูดไม่ได้ ครั้งนี้หุ้นไทยลงแรง และมีปอบ เข้ามาแจม
ขอพูดถึงข้อแรกก่อนครับ ทำไมไทยลงน้อยในตอนแรก แล้วเราจะใจเย็นลง หายตื่นตูม สติมา
มาดู ผลตอบแทน ของหุ้นกลุ่มนี้กันก่อน จากจุดสูงสุดจนถึงจุดต่ำสุดของปีนี้ (ถึงวันศุกร์ที่แล้ว 15/6/18) ก่อนจะเริ่มถล่มกันอีกรอบ)
หุ้นตุรกี – 23.6%
หุ้นอินโดนีเซีย -14.5%
หุ้นฟิลิปปินส์ – 19.2%
หุ้นเวียดนาม – 24.3%
หุ้นมาเลเซีย -9.8%
หุ้นบราซิล – 21.2%
หุ้นไทย – 9.2%
จะเห็นได้ว่าหุ้นไทยนั้นเป็นหนึ่งในประเทศที่ลงน้อยที่สุด เพราะการขายที่ผ่านมา เป็นการเช็คบิล ประเทศที่ อ่อนแอ และอ่อนไหวต่อ fund flow ไหลกลับได้ง่าย ซึ่งมีวิธีดูหลายๆแบบ วันนี้อยากให้ดู 3 อย่างที่ค่อนข้างชัด สำหรับการเช็คบิลรอบนี้
1.เงินสำรองระหว่างประเทศ
2.ดุลบัญชีเดินสะพัด
3.หนี้ในหน่วยดอลลาร์
ถ้าดูตามเนื้อผ้าก็ต้องบอกว่า ท่ามกลางพายุที่โหมกระหน่ำในกลุ่มนี้ ไทยเราสามารถรับการกระแทกได้ดีกว่าประเทศเพื่อนบ้าน (ณ เวลานี้) ยิ่งไปกว่านั้นในขณะที่ค่าเงินของประเทศเหล่านี้อ่อนแอจนน่าใจหายโดยเฉพาะอย่างยิ่งตุรกีที่นับตั้งแต่ต้นปีก็อ่อนมาแล้วถึง 26% (ถึงวันศุกร์ที่ผ่านมา) หรือฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ที่เรียกได้ว่าอ่อนในระดับเดียวกับช่วงวิกฤต 40 เป็นที่เรียบร้อยบางประเทศอย่างอียิปต์ที่ทนพิษบาดแผลไม่ไหว ขึ้นค่าก๊าซ 50% จนต้องขอความช่วยเหลือจาก IMF ฟังดูอ่อนแอเหลือเกินครับเวลานี้
ในขณะเดียวกัน กระแส America First ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกตั้งแต่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง จากผลสำรวจผู้จัดการกองทุนทั่วโลกพบว่า ได้กลับมา Overweight น้ำหนัก US มากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในเกือบ 2 ปี ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะเตรียมรับมือ Tightening Cycle อย่างสมบูรณ์ ในช่วงดอลลาร์แข็งค่า หลีกเลี่ยงหุ้นตลาดเกิดใหม่ ซึ่งเป็นธรรมดาของ Tightening Cycle เงินจะไหลกลับตลาดพัฒนาแล้ว … แต่ !! เข้ายุโรปก็กังวลความเสี่ยง ยุโรปแตก จึงอาจเป็นเหตุผลให้เงินไหลกลับสหรัฐฯ เพราะในอดีตเวลาเกิดวิกฤตที่อื่นนอกสหรัฐฯ หุ้นสหรัฐฯจะปรับฐาน หรือซึมๆตามก่อนวิ่งต่อ เช่นปี 40 ไม่ได้จมดิ่งไปเลยเหมือนที่อื่นๆ
และแรงขายกระหน่ำก็มาทวีคูณมากขึ้นอีกจากการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว การประกาศเตรียมขึ้นดอกเบี้ยของทางยุโรปพร้อมแผนเลิก QE อีกทั้งการเปิดเผยว่า รัสเซียได้เทขายพันธบัตรสหรัฐฯไปครึ่งหนึ่ง ในเดือนเมษายน ซ้ำร้ายด้วยชนวนสงครามการค้าระหว่างอเมริกาและจีน ที่เกิดขึ้นมาอีกครั้ง จึงทำให้เกิดการขายระลอกที่ 2
เมื่อถึงคราวต้องขายหมู่ คราวนี้ก็ต้องจำยอมปล่อยหุ้นไทยครับ
แล้วมีหลายความเป็นไปได้แบบนี้ วิเคราะห์ยังไงดี โชคดีครับ เราสามารถวิเคราะห์ในแนวเดียวกันหมดได้ เพราะมันเป็นปัจจัยมหภาค ก็คือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น เงินจะไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ คราวนี้ก็น่าจะมี 2 Scenario
1.ถ้าหุ้นตกเพราะ Trade War รับมืออย่างไร?
ก่อนอื่นอยากให้ใช้กฎ ครั้งแรกรุนแรงที่สุด ครั้งถัดไปค่อยๆเบาลง ยกตัวอย่างเช่น QE Tapering, ขึ้นดอกเบี้ย, ยุโรปแตก เกิดครั้งแรกหุ้นจะปรับฐานรุนแรง ถัดๆมาจะเริ่มส่งผลกระทบเบาลง
Trade War ที่เริ่มจุดชนวนขึ้นมาอีกครั้งทั้งที่ดูน่าสงบแล้ว ส่งผลร้ายต่อตลาดหุ้นโลกอย่างแน่นอน แต่ไม่ใช่ชนวนของวิกฤต มันเป็นธรรมดาของยุคแตกแยก (Deglobalization) ซึ่งเกิดขึ้นทุกๆ 30 ปีอยู่แล้ว มันไม่ได้แปลว่าโลกจะสลาย หุ้นถล่มทลาย ในอดีตหุ้นก็ขึ้นได้ และเกิดวิกฤตในลักษณะที่ไม่ได้ต่างกับยุค Globalization หรือกล่าวคือมันไม่ได้ทำให้แตกต่างขนาดนั้น
ที่น่ากลัวคือ ถ้าตลาดเล่นเรื่อง ปูตินจับมือสี จิ้นผิง สู้กับ สหรัฐฯ จะเกิดอะไรขึ้น เช่น จีนขายพันธบัตรรัฐบาลทั้งหมดของสหรัฐฯแบบไม่กลัวขาดทุน … แน่นอนครับสหรัฐฯพังทันที จะหาใครมารับซื้อทั้งหมดนั้นทัน หรือเลิกใช้ดอลลาร์ซื้อน้ำมัน หันไปใช้หยวนทั้งหมด แต่โดยนิสัยของสี จิ้นผิงแล้ว ดูไม่ใช่แนว Aggressive ขนาดนั้น
2.ถ้าหุ้นตกเพราะทั่วโลก รัดเข็มขัด รับมืออย่างไร?
ปกติหุ้นจะปรับฐานก่อน 3-6 เดือนก่อนรัดเข็มขัด หรือ hint แรกที่ประกาศออกมาว่า “เอาแล้วนะ” แต่โดยรวมยังมีเวลาครับ เริ่มรัดเข็มขัดไม่ใช่แปลว่าหุ้นจะรูดกราวไปทันที ที่ผ่านมาจุดที่วิกฤตจริงๆคือเวลาดอกเบี้ยระยะสั้นขึ้นแรงและเร็ว มักจะมีจังหวะให้ออกได้เสมอ
แต่ที่สำคัญคือ แล้วบ้านเราจะดิ่งลงแบบกลุ่มตลาดเกิดใหม่เหล่านั้นหรือเปล่า?
ตุรกีที่มีหนี้ต่างประเทศเป็นสัดส่วนถึง 537% ของทุนสำรอง โดยไทยมีหนี้ต่างประเทศเพียงแค่ 67% ต่อทุนสำรองเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยที่สุดเลยก็ว่าได้ จุดแข็งของไทยอีกอย่างคือ ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่จะค่อนข้างพึ่งพาสินค้าส่งออกจำพวก commodity เป็นหลัก ซึ่งราคาดิ่งกันยกแถบ แต่ประเทศไทยถือว่ามีสัดส่วนสินค้าส่งออกที่ค่อนข้างหลากหลายไม่กระจุกตัว แถมยังได้อานิสงห์การท่องเที่ยวที่ดีวันดีคืน
ด้วยภาพที่สะท้อนออกมาแบบนี้เอง ในเชิง มหภาค หุ้นไทยจึงดู ดีกว่าที่อื่น แน่นอนว่าคงวิ่งไปตามกลุ่ม แต่ว่าก็แข็งแกร่งกว่าเพื่อน
แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องจับตาคือ การกำหนดดอกเบี้ยในวันพุธที่จะถึงนี้ (19/6/18)
เพราะในโซนเอเชียตะวันเฉียงใต้นี้มีเพียง 2 ประเทศที่อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า FED และไทยบังเอิญเป็น 1 ในนั้น ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ที่แปลกมากที่ดอกเบี้ยของประเทศกำลังพัฒนาอย่างเราจะต่ำกว่าสหรัฐ ในขณะที่ดอกเบี้ยของประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซียนั้นสูงกว่ามาก คงต้องจับตาดูว่า จะเป็นอย่างไรครับ เศรษฐกิจบ้านเราดีพอให้ขึ้นดอกเบี้ยหรือยัง ถึงเวลาที่เราจะต้องกลับมาสนใจ กนง. กันทุกครั้งอีกหรือยัง?
ดอยนี้ท่านจะรับมืออย่างไร?
แน่นอนคำถามนี้ย่อมเกิดกับนักลงทุนหน้าใหม่ที่ไม่คุ้นชินกับภาวะตลาดหุ้นตก 10-20% …
คำตอบคือ
#BottomLiner
ติดตาม BottomLiner ได้ง่ายๆที่ https://www.facebook.com/bottomliner