Update Apple ทำรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ กว่า 3ล้านล้านบาท!และ S-Curve ใหม่ของเค้า
ทุบคาดการณ์แต่ราคาหุ้น Post-Market -3%
รายได้ +21% สูงสุดในประวัติศาสตร์ อยู่ที่ 111.4 พันล้านเหรียญ (3.3 ล้านล้านบาท )มากกว่าคาดที่ 103 พันล้านเหรียญ
กำไรต่อหุ้น +35% อยู่ที่ 1.68 เหรียญห์ต่อหุ้น มากกว่าที่ไว้ที่ 1.41 เหรียญต่อหุ้น
สร้าง Operating Cash flow มากกว่า 38.8 พันล้านเหรียญ (1.16 ล้านล้านบาท)
โดยส่วนรายได้ iPhone มากกว่าคาดค่อนข้างมาก ที่ 65 พันล้าน (1.9 ล้านล้านบาท) จากที่คาดไว้ที่ 59 พันล้านเหรียญ
รายได้จากจีนเริ่มเห็นสัญญาณบวกที่ดี หลังบวก 57% อยู่ที่ 21.3 พันล้านเหรียญ (6.39 แสนล้านบาท)
New S-Curve
ใครหลายๆคนคงเคยคิดว่าอาณาจักร Apple คงจะต้องล่มสลายลงหลังการจากไปของ Steve Jobs โดยเฉพาะเมื่อมองตัวผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่ออกมาหลังจากนั้น ไม่ว่าจะเป็น iPhone4S iPhone5 หรือกลุ่ม iPad ที่ไม่มีนวัตกรรมใหม่ๆเท่าที่ควร งานเปิดตัวเรียกเสียงว้าวจากสาวกไม่ได้เหมือนเดิม แถมยังโดน Android ที่เริ่มจะตั้งตัวได้แย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดไปพอสมควรด้วย
แต่มรดกสำคัญชิ้นนึงที่ Jobs สร้างทิ้งไว้ให้บริษัทนอกเหนือจากแฟนพันธุ์แท้ Apple ก็คือ iOS และ App Store ตัว iOS คือระบบปฏิบัติการของโทรศัพท์มือถือ เหมือนกับ Windows ที่เป็นระบบปฏิบัติการของคอมพิวเตอร์ทั่วไปที่เราใช้กันในปัจจุบัน ซึ่งเมื่อคนเกิดความคุ้นเคยแล้วจะไม่ค่อยอยากเปลี่ยนไปใช้ระบบปฏิบัติการใหม่ๆเพราะต้องเรียนรู้ใหม่หมด
ถ้าจะอธิบาย App Store ให้เข้าใจได้ง่าย คือ Platform e-commerce ที่ขาย Applications จากนักพัฒนาไปถึงมือผู้บริโภค โดย Apple เก็บส่วนแบ่งจากรายได้ทั้งหมดที่เกิดขึ้นบน App Store ทั้งในตัว App เอง และการขายของภายใน App เบื้องต้นรายได้ที่ Apple ได้เป็นส่วนแบ่งอยู่ที่ 30% ของราคา App และรายได้ภายใน App เหล่านั้น
แต่ iOS และ App Store ก็ยังไม่ใช่ new S-Curve โดยตรงของบริษัท เพียงแต่เป็นองค์ประกอบตัวช่วย ในการสร้าง S-Curve ใหม่ของ Apple ในปัจจุบัน หลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนว่า Hardware คงจะไม่ใช่จุดแข็งที่สุดของบริษัทอีกต่อไป เพราะยุคนั้นมี Huawei มาแย่งชิงตลาด ทาง Apple จึงเน้นพัฒนาและปรับปรุงไปที่ 3 แนวทางหลัก ซึ่งมาออกดอกผลเอาในปีที่ผ่านมา
เน้นเติบโตผ่าน Service ที่มีรายได้เป็น Subscription อีกทั้งยังเก็บ 30% บนรายได้ที่เกิดจาก Appstore และดันเกิด covid พอดี ผู้คนใช้จ่ายผ่านแอปกระจุยกระจาย แต่แค่นั้นยังไม่พอ ยังมีธุรกิจอื่นๆ เช่น Apple Pay, Podcast, Apple Care, Apple Music, Apple TV, Arcade และล่าสุดเปิดตัว Apple One ซึ่งจะใช้ได้ทุกบริการของ Apple
ตั้งแต่ปี 2015 รายได้ส่วนนี้เติบโตเฉลี่ย 22% ต่อปี อย่างไรก็ดีปีล่าสุดชะลอตัวเล็กน้อยมาอยู่ที่ 16% นักวิเคราะห์จากหลายสำนักก็คาดว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า ธุรกิจนี้จะมีสัดส่วนที่ใหญ่กว่า iPhone อย่างแน่นอน
จุดอ่อนของ Apple คือการที่หัวใจหลักสำคัญของ Hardware ซึ่งก็คือชิพ ยังพึ่งคนอื่น โดยเปิดตัว M1 ในปีก่อนเพื่อใช้ใน Macbook เลิกใช้สถาปัตยกรรมของ Intel ซึ่งจริงๆแล้ว ทาง Apple เปิดตัวชิพ Apple Bionic สำหรับ iPhone Ipad มาตั้งแต่ปี 2014 และยังคงพัฒนาและออกแบบชิ้นส่วนอื่นเอง อย่างล่าสุดใน iPhone 12 นั้น เป็นชิ้นส่วนจาก Apple เองสูงถึงประมาณ 16% และหากเทียบราคาต้นทุนกับทางค่ายจีน อย่าง Xiaomi Mi 11 เรือธงล่าสุดนั้น ราคาไม่ได้สูงกว่าแบบมีนัยยะสำคัญแล้ว
จากข้อ 1 และ 2 ที่ทำให้เราเห็นว่า Apple มุ่งเน้น พัฒนา product ให้ดีที่สุดเสมอ โดยเก็บส่วนที่ดีที่สุดของการเป็นเจ้าของ Platform ไว้กับตัวเอง ก็คือ App Store มาในตอนนี้ เข้าสู่ยุค Internet of Things เราจะสังเกตได้จากข้อ 1 แล้วว่า ขนาด Service ยังมีเยอะขนาดนั้น แล้ว Product จะน้อยหน้ายังไง หากสังเกตดูจะพบว่า ผู้ใช้ Apple จะมีสินค้า Apple มากกว่าหนึ่งอย่างเสมอ เช่นมี iPhone ก็ต้องมี iPad Macbook งอกลูกออกหลานตามมาเรื่อยๆ และในยุคหลัง Apple ก็ออกสินค้าใหม่อย่าง Apple Watch Apple TV ซึ่งตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้ดี และก็ส่งผลดีต่อ Apple เองอีกหลายต่อ เพราะฝั่ง Apple นอกจากได้กำไรจากการขายสินค้า แถมยังได้ Data ไปใช้ประโยชน์ ส่วนฝั่งผู้บริโภคก็ได้หลงเพลิดเพลินใน Ecosystem ของ Apple ต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด
เมื่อคนหลงอยู่ใน Ecosystem ที่เป็น Product และ Service ของ Apple แล้ว ก็ยิ่งง่ายต่อ Apple ที่จะทำอะไรใหม่ๆ เช่นเปิดตัว Fitness+ เปิดตัว Apple Car ทำให้ลูกค้าเดิม ซื้อซ้ำ ไปเรื่อยๆ ไม่ได้ต่างอะไรกับเหล่าหุ้น SaaS ที่มีรายได้จากลูกค้าเดิมซื้อซ้ำ เรียกว่าเป็นระบบนิเวศน์ที่มีความสมบูรณ์แบบระดับหนึ่ง และเป็นสิ่งที่ทุกบริษัทต้องการที่จะทำให้ได้แบบ Apple ในตอนนี้เช่นกันที่เห็นกันจากยอดขายว่าคนหลงไหลมนต์เสน่ห์ของ Apple iPhone กันมากขนาดไหน!
Bottomliner