สรุปตอน 2 “The Changing World Order: Why Nations Succeed and Fail”
หนังสือดีๆ จากป๋า Ray Dalio ใครยังไม่ได้อ่านตอนที่ 1 ตามไปอ่านได้ที่ลิ้งค์ด้านล่างนี้เลย
สรุป “The Changing World Order: Why Nations Succeed and Fail” ของ Ray Dalio
ไปลุยตอน 2 กับ Chapter 2: Money, Credit, and Debt
ค่าเงินที่ได้รับความน่าเชื่อถือสูงจะถูกใช้เป็นสกุลเงินสำรองของประเทศต่างๆ ในเวลานี้ตัวหลักของโลกคือดอลลาร์สหรัฐซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) คิดเป็นประมาณ 55% ของการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ รองลงมาคือเงินยูโร ซึ่งผลิตโดยธนาคารกลางยุโรป (ECB) คิดเป็นประมาณ 25% ของการทำธุรกรรม รองลงมาอีกคือเงินเยนของญี่ปุ่น, เงินหยวนของจีนและเงินปอนด์ของอังกฤษ โดยในปัจจุบันเงินหยวนมีการเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
การเป็นเจ้าของสกุลเงินสำรองเป็นสิ่งที่ดี เพราะจะช่วยให้ประเทศกู้ยืมและใช้จ่ายได้ง่าย แต่ในทางกลับกันก็จะทำให้มีหนี้มากกว่าเช่นกัน และอาจไม่สามารถจ่ายคืนได้ ต้องให้ธนาคารกลางพิมพ์เงิน (Fed กำลังทำอยู่) ในทางตรงกันข้ามประเทศเล็กๆ ซึ่งมีหนี้ในค่าเงินดอลลาร์หรือยูโร จะต้องการเงินดังกล่าวเมื่อครบกำหนดชำระ ซึ่งพวกเขาไม่สามารถพิมพ์ได้ นั่นหมายถึงถ้ามีไม่พอประเทศดังกล่าวจะต้องผิดนัดชำระหนี้และอาจล้มละลายในที่สุด หรือในภาวะปกติ ประเทศต่างๆ จำเป็นต้องใช้สกุลเงินสำรองเพื่อชำระหนี้และซื้อสิ่งของระหว่างประเทศ เนื่องจากผู้ขายอยากได้รับการชำระเป็นสกุลเงินสำรอง หากพวกเขามีเงินไม่เพียงพอ จะทำให้ประเทศไม่สามารถพัฒนาได้
โดยทั่วไปเงินมีความสัมพันธ์กับปริมาณของสินค้าและบริการ ตัวอย่างเช่นเมื่อความต้องการสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น (Demand สูง) แต่ความสามารถในการผลิตสิ่งที่ต้องการนั้นมีจำกัด (Supply น้อย) ระดับราคาสินค้าและบริการก็จะเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เงินเฟ้อสูง หลักการนี้ถูกใช้กับมูลค่าของเงินและเครดิตเช่นกัน โดยเมื่อเงินถูกสร้างขึ้นมากเกินความต้องการ เงินเฟ้อจะสูงและมูลค่าของเงินก็จะลดลง ซึ่งทำให้ประชาชนต้องการเก็บออมเงินมากขึ้นและลดค่าใช้จ่าย สุดท้ายแล้วเงินเฟ้อก็จะลดลง แต่ถ้าประชาชนยังลดการใช้จ่ายไปเรื่อยๆ ก็จะทำให้กลายเป็นสภาวะเงินฝืดแทน
ระเบียบของโลกใหม่เริ่มต้นหลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองในปี 1945 โดยผู้ชนะภายใต้การนำของสหรัฐทำให้ดอลลาร์กลายเป็นสกุลเงินสำรองของโลก เพราะเมื่อสิ้นสุดสงคราม สหรัฐมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เท่ากับครึ่งหนี่งของโลก และเป็นเจ้าของทองคำประมาณสองในสามของโลก (ยุคนั้นทองคำคือสกุลเงินสำรองที่ดีที่สุด) ในขณะนั้นธนาคารกลางของประเทศอื่นๆ สามารถแลกเปลี่ยนทองคำเป็นดอลลาร์สหรัฐได้ที่ราคา 35 ดอลลาร์/ออนซ์ แต่กฎหมายขณะนั้นยังไม่อนุญาตให้บุคคลทั่วไปถือครอง ส่งผลให้ทองคำสำรองเกือบ 100% เป็นของรัฐบาลสหรัฐและประเทศพันธมิตร แต่เมื่อมีการขอแลกเปลี่ยนทองคำมาก ปริมาณทองคำในธนาคารสหรัฐลดลง จึงทำให้เกิดการผิดนัดชำระตามสัญญาแลกเปลี่ยนดอลลาร์เป็นทองคำ ดังนั้นเงินดอลลาร์จึงอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับทองคำและสกุลเงินอื่นๆ ความตื่นตระหนกของหนี้ดอลลาร์ในขณะนั้นทำให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นและผลักดันราคาทองคำจากระดับ 35 ดอลลาร์ที่ขึ้นไปจุดสูงสุดที่ 670 ดอลลาร์/ออนซ์ในปี 1980
หลังจากสามารถปรับโครงสร้างหนี้ในปี 1980 สำเร็จ ไม่นานตลาดหุ้นสหรัฐเกิดฟองสบู่ดอทคอมในปี 2000 (Dot com crisis) ซึ่งนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ หนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐลดอัตราดอกเบี้ยลง กระทั่งเกิดวิกฤตครั้งใหญ่อีกรอบในปี 2009 (Subprime crisis) ทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลดลงแตะระดับ 0% แต่การลดลงของอัตราดอกเบี้ยไม่เพียงพอที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจ ธนาคารกลางจึงจำเป็นต้องพิมพ์เงินและซื้อสินทรัพย์ทางการเงิน (ทำ QE) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพันธบัตรรัฐบาลและหนี้คุณภาพสูง
ทุกวันนี้สหรัฐยังคงเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 1 ของโลก คิดเป็นประมาณ 20% ของ GDP โลก และสกุลเงินสำรองดอลลาร์สหรัฐถูกใช้เป็นทุนสำรอง (Reserve currency) 60% ของทั้งหมด ดังนั้นเงินดอลลาร์สหรัฐและระบบการเงินที่อิงกับเงินดอลลาร์จึงยังมีอำนาจสูงมาก
เรียนรู้เพื่อปรับตัว
BottomLiners
แอดมินฟ้า