สรุป วิกฤตที่ป่าหี่ที่สุดในประวัติศาสตร์ – South Sea Bubble
สรุป วิกฤตที่ป่าหี่ที่สุดในประวัติศาสตร์ – South Sea Bubble โดย BottomLiner
วิกฤตสุดโต่ง จะเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ไม่ว่าด้านใดด้านหนึ่ง เพราะคนยังคาดเดาไม่ได้ ว่ามันจะมีมูลค่าขนาดไหน จริงแค่ไหน ในครั้งนั้นคือการล่าอาณานิคมและค้นพบทวีปอเมริกา อยากให้ลองสังเกต pattern ดู
จริงๆแล้วนี่ก็เป็นต้นแบบอย่างหนึ่งของการเปลี่ยน หนี้ เป็น หุ้น (Convertibles) และ options ต่างๆ ตั้งแต่ 300 ปีก่อน
หลังจากยุโรป ล่าอาณานิคม เข้ายึดครองทวีปอเมริกาเหนือและใต้ ในศตวรรษที่ 18
ช่วงนั้นมี สงครามระหว่างชาติยุโรปด้วยกันเกิดขึ้น โดยเฉพาะสงครามสืบราชสมบัติสเปน (War of the Spanish Succession) 1711-1714 และสงคราม The Great Northen War ที่ยืดเยื้อตั้งแต่ 1710 – 1721
เมื่อเกิดสงคราม ก็ย่อมมีหนี้สินเพิ่มขึ้น แต่ ณ เวลานั้น รัฐบาลอังกฤษกู้จาก Bank of England ซึ่งเป็น Private Company
ในปี 1710 Rober Harley ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็น Chancellor of the Exchequer ของรัฐบาล จึงได้หาหนทางใหม่ๆ ในการกู้ยืม
เพื่อจัดการกับลดภาระหนี้สาธารณะลง (หนี้ของประเทศ) Harley จึงคิด State Lottery โดยมี John Blunt ผอ ธนาคารแห่งหนึ่ง เข้ามาช่วย
และร่วมกันกับ Blunt จัดตั้ง The South Sea Company (SSC) ในปี 1711 โดยมีชื่อทางการ ว่า The Governor and Company of the merchants of Great Britain, trading to the South Seas and other parts of America, and for the encouragement of fishing
ชื่ออันยาวเหยียดนั้น ไม่ได้มีไว้เท่ห์ๆ แต่มีไว้เพื่อมอบสิทธิผูกขาดชนิด monopoly ในการซื้อขายกับอาณาจักรสเปนในทวีปอเมริกาใต้ และน่านน้ำบริเวณนั้นทั้งหมด (South Seas)
Concept คือ ออกหุ้นบริษัท มาเพื่อเท่ากับ ภาระหนี้ และให้รัฐบาลมาติดหนี้กับ SSC แทนโดยจ่ายดอกเบี้ยปีละ 6% รวมค่าใช้จ่ายต่างๆ เพื่อมาเป็นปันผลให้ผู้ถือหุ้น เป็นการจูงใจให้มีนักลงทุนมารับภาระหนีไ้ป … เหมือน convertible
การแปลงหุ้น ก็แบ่งออกเป็น 5 รอบ เริ่มรอบแรกโดยมีนักลงทุนรายใหญ่ก่อน 200 คน !! แน่นอนว่า Harley เองก็ลง คนวงในเองก็ลงครับ สมัยนั้นยังไม่มีกฎ insider trade
เวลาผ่านไป ปรากฎว่า ในปี 1713 ได้มีการเซ็น Treaty of Utrecht เพื่อยุติสงครามสืบราชสมบัติสเปน และปรับเปลี่ยนสิทธิผูกขาด ของ SSC ลดลงอย่างมาก แต่ก็ได้รับสัญญาค้าทาส ให้แก่สเปน จำนวน 4800 คนต่อปี
แต่แน่นอน มันก็ไม่ได้ตามเป้า โดยเฉพาะปีแรก ขายได้ 1230 คน แต่ก็มีบางส่วนขายขาดทุนไป เพราะเค้าไม่ได้ไปจับทาสเอง แต่ไปซื้อมาอีกทีหนึ่ง
SSC ได้เริ่มการค้าที่เป็นสินค้าครั้งจริงๆในปี 1717 แต่ในเวลาเพียง 1 ปี ความสัมพันธ์ของอังกฤษและสเปนก็แย่ลง และไม่ค่อยประสบความสำเร็จในการค้าเท่าไหร่นัก
เกิดสงครามกับสเปนอีกครั้ง ทรัพย์สมบัติถูกยึดไปส่วนหนึ่ง อีกทั้งสงคราม The Great Northern War ยืดเยื้อเกิดคาด
ในปี 1718 John Law สุดยอดพ่อมดทางการเงินผู้สร้างฟองสบู่หุ้นครั้งแรก ได้มาแนะนำ Blunts ถึงกลเม็ดเคล็ดลับต่างๆ
ในปี 1719 SSC จึงมี scheme ใหม่ ทำให้สามารถออกหุ้นเพิ่มทุนได้อีกแลกกับหนี้สาธารณะอีก เพื่อช่วยเหลือรัฐบาล(ขอข้ามรายละเอียดครับ)
ในขณะเดียวกัน Blunt ได้เกิดไอเดียเพื่อดันราคาหุ้น จึงอนุญาตให้ผู้ถือหุ้นเดิม สามารถซื้อหุ้นเพิ่มทุนได้ โดยให้ยืมเงิน แล้วมาจ่ายทีหลัง(บัญชี Margin นั่นเอง)
ณ เวลานั้น ตัวเลือกในการลงทุน ไม่ได้มีเยอะมากนัก ที่ดังๆอย่าง The East Indian Company ว่ากันว่าจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นเพียง 499 คน เท่านั้น SSC จึงเป็นสิ่งที่นักลงทุนให้ความสนใจมาก
จนในปี 1720 ก็เริ่มปล่อยข่าวลือ ถึงมูลค่าที่จะได้จากการค้าขายกับ South Seas ทั้งๆที่จริงๆแล้วธุรกิจไม่ได้ดีเลย
ราคาหุ้นก็ไต่ขึ้นมาเรื่อยๆ จาก 100 ปอนด์ต่อหุ้น ไปถึง 550 ในเดือนพฤษภาคม เมื่อได้รับการรับรองใน scheme ใหม่
****
คราวนี้ก็มาถึงจุด Climax ของเรื่อง ที่ทำให้เกิด วิกฤต
คือเริ่มมีการขายหุ้นให้ “นักการเมืองและราชวงศ์” ที่ราคาตลาด —- แต่ไม่ได้ขายหุ้นนะครับ ขาย สิทธิ ในการขายคืน (เหมือน call option นั่นเอง)
วิธีนี้ ทำให้ล็อบบี้รัฐบาลได้อย่างง่ายดาย และผู้ได้รับประโยชน์ก็ช่วยผลักดันราคา เพื่อให้ได้กำไร และเมื่อนักลงทุนรายย่อยเห็นก็ยิ่งสนใจ
ในปี 1720 นี้เอง ไม่ได้มีแต่ SSC ที่ระดมทุนจากนักลงทุน แต่เกิดบริษัทอื่นขึ้นมากมาย ที่ทำโดยไม่มี license หรือเถื่อน จึงมีการผ่านร่างกฎหมาย Bubble Act เพื่อรองรับบริษัท joint-venture
เมื่อกฎหมายนี้ผ่านออกมา SSC ซึ่งถูกต้องตามกฎหมายก็พุ่งขึ้นอีกในเดือน มิถุนายน ทะลุถึง 890 ปอนด์ต่อหุ้น ก่อนพักฐาน จนทะลุผ่าน 1000 ปอนด์ต่อหุ้นในเดือนสิงหาคม
ณ เวลานั้น เม่า ตั้งแต่ ชาวนา จนถึง ท่านลอร์ด หรือแม้แต่ เซอร์ไอแซค นิวตันเอง ก็เข้าไปถือหุ้น ใน SSC
แค่นั้นไม่พอเมื่อถึงเดือนสิงหาคม คนที่ซื้อไปด้วยการยืมเงิน ถึงเวลาต้องจ่ายเงินครับ แน่นอนก็ต้องขายหุ้นออกมาจ่าย ในขณะเดียวกัน ก่อนหน้านั้น ก็เริ่มเกิดวิกฤต Missipsippi Company ที่ John Law สร้างในฝรั่งเศส ทำให้คำว่า ฟองสบู่แตก แพร่หลายไปในทวีปยุโรป
ส่งผลให้ราคาร่วงลงมาเหลือเพียง 150 ปอนด์ต่อหุ้นในเดือนกันยายน
หลังจากนั้นรัฐบาลก็ตั้งคณะกรรมการสอบสวน กล่าวหาว่าเกิดการทุจริตขึ้นภายใน
ธุรกิจของ South Sea Company นั้นไม่เคยประสบความสำเร็จเลย แม้จะจบวิกฤตหุ้นของมันไปแล้ว แถมยังถูกหยุดบ่อยครั้งจากสงคราม อีกทั้งยังทำให้ความสัมพันธ์ทั้งสองประเทศเสื่อมลง
ในปี 1722 จากรายงาน พบว่า เซอร์ไอแซคนิวตัน มีหุ้น SSC ประมาณ 22,000 ปอนด์ เขาได้กล่าวว่า “I can calculate the movement of the stars, but not the madness of men”
#BottomLiner
ติดตามทาง Facebook BottomLiner คลิ๊ก