ทำไมการป้องกันความเสี่ยงขาลงถึงสำคัญกว่าการทำกำไร?
โพสต์ที่อยากให้ทุกคนอ่าน
“ทำไมการป้องกันความเสี่ยงขาลงถึงสำคัญกว่าการทำกำไร? “
.
คือไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนสายไหนก็ตาม การป้องกันความเสี่ยงขาลงเป็นอีกทางเลือกที่ควรทำ โดยทำได้หลายวิธีมาก เช่น การ Diversify, Asset Allocation ซื้อสินทรัพย์ที่เคลื่อนไหวตรงกันข้ามกับ Position ส่วนใหญ่ในพอร์ต การใช้เครื่องมือต่าง ๆ เช่น Option, Future, หรือในการลงทุนหุ้นสหรัฐก็จะเจอพวก Inverse ETF และอีกมากมาย
.
บทความนี้จะไม่มาเจาะว่าใช้เครื่องมือ หุ้น หรือสินทรัพย์อะไรดีในการป้องกันความเสี่ยงขาลง ขอทิ้งเอาไว้เป็นทางเลือกที่นักลงทุนแต่ละท่านถนัด
.
แต่เราจะมาพูดถึงความสำคัญของมัน
ว่าทำไมการป้องกันความเสี่ยงขาลงถึงสำคัญ
และเป็นอีก 1 ความลับการลงทุนที่หลายคนมองข้ามไป .
สิ่งที่เราจะเขียนถึงวันนี้ มาจากบางตอนของหนังสือชื่อ
“BUY AND HEDGE: The 5 Iron Rules for investing over the long term” (ยังไม่มีแปลไทยนะ)
.
เรามาเริ่มกันที่ตัวอย่างจากตลาด S&P500
.
=====
โดยจากข้อมูลพบว่า 10 วันที่ตลาดย่ำแย่ที่สุดในปี 2001-2009 นั้นเคลื่อนไหวอยู่ที่ -5.2% ถึง -9.84%
(ค่าเฉลี่ยประมาณ -6.8%)
โดยหากเราลงทุน 1 แสนบาทเมื่อ 1 มกราคม 2001 ถึง 1 มกราคมปี 2011
พอร์ตลงทุนของเราจะมีมูลค่าประมาณ 113,692 บาท
.
แต่ถ้าในช่วงเวลาเดียวกันนี้ เราตัดวันที่ตลาดทำผลตอบแทนแย่ที่สุดเพียง 10 วัน
ย้ำแค่ 10 วันในช่วงเวลา 10 ปี !
พอร์ตลงทุนของเราจะมีมูลค่า 232,360 บาท !
.
ทำไมถึงแตกต่างกันได้ขนาดนี้ ? เราลองคิดแบบเร็ว ๆ เลย ถ้าเราสามารถหลบ 10 วันนั้นได้
เราจะป้องกันความเสียหายของพอร์ตลงทุนไปได้ -68%
และทำให้ผลตอบแทนจากตัวอย่างต่างกันระหว่าง +13% กับ +132% เลยทีเดียว
=====
.
ถ้าสิ่งที่เป็นพลังของการลงทุนคือการทบต้น (Compound Growth)
สิ่งที่เป็นศัตรูของการทบต้นคือการสูญเสียเงิน (Capital Loss:เงินที่ไม่สามารถสร้างกำไรได้)
เหมือนที่บัฟเฟตต์เคยพูดถึงกฏการลงทุนว่า
“The first rule of an investment is don’t lose money. And the second rule of an investment is don’t forget the first rule“
.
คำพูดนี้ของบัฟเฟตต์ทำให้คนตีความผิดเยอะมาก
บางทีเทรดเดอร์ก็งง งั้นการ Stop Loss ก็ผิดหรอ?
หลายคนเข้าใจผิด อะงั้นฉันก็ไม่ขายละกันไม่ขาดทุน ทนดอยกันไป
ซึ่งจริง ๆ การดอยนั้นก็คือ Capital Loss เหมือนกัน
เพราะเงินมันไม่สามารถสร้างกำไรได้ และก็จะทำให้ผลของการทบต้นนั้นไม่เกิดขึ้น
.
#การขาดทุนส่งผลต่อพอร์ตมากกว่ากำไร
หากมีพอร์ตลงทุน 2พอร์ต โดยมีเงินเริ่มต้น 1 แสนบาท
พอร์ต A ผลตอบแทน 4 ปี
-30%, +30%, -30%, +30%
พอร์ต B ผลตอบแทน 4 ปี
-10%,+10%,-10%,+10%
=====
จากตัวอย่างหลายคนมักจะมองว่าผลตอบแทน 4 ปีของทั้ง 2 พอร์ตนี้เท่ากัน
คือ 0%
.
แต่ความจริงแล้ว
พอร์ต A จะเหลือเงิน 82,810 บาท
พอร์ต B จะเหลือเงิน 98,010 บาท
=====
แม้การขาดทุน และกำไรจะเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกันในความเข้าใจคนส่วนใหญ่ แต่ความจริงแล้วค่าของมันไม่เท่ากัน เพราะทุก ๆ การขาดทุน 1% จะต้องใช้มากกว่า 1% เสมอในการให้มูลค่ากลับมาเท่าเดิม
ในทางตรงกันข้าม กำไร 1% นั้นใช้การขาดทุนไม่ถึง 1% ในการทำให้มูลค่ากลับมาเท่าเดิม
.
และยิ่งคุณขาดทุนรุนแรง ผลตอบแทนผันผวนมาก ก็จะยิ่งต้องใช้ความพยายามมากขึ้นเรื่อย ๆ ในการทำให้มูลค่าของเงินกลับมา
และนี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เหล่า trader มัก Stop Loss ที่ราว ๆ 10%
เพื่อป้องกันการทบต้น (ของการขาดทุน)
เหมือนที่หลายคนคงรู้อยู่แล้วว่า หากเราขาดทุนไป 50% เราต้องได้กำไร 100% เพื่อให้เงินกลับมาเท่าเดิม
.
แล้วถ้าจะลงทุนระยะยาว งี้เราต้องทำอย่างไรหละ ในเมื่อขายทิ้งก็ผิดหลักลงทุนระยะยาว ถือไว้การทบต้นก็ไม่เกิด ? แล้วถ้าจะให้คาดการณ์เพื่อหาวันที่ผลตอบแทนแย่ 10 วันนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
.
นั้นคือที่มาของความสำคัญของการป้องกันความเสี่ยงขาลง
หรือเราจะทำอย่างไรก็ได้ให้ผลตอบแทนยังเกิดการทบต้นได้อยู่แม้พอร์ตของเราจะมีความเสียหายอยู่บ้าง
ซึ่งสามารถทำได้หลากหลายวิธีมาก ขึ้นอยู่กับแต่ละคนเลย
#ยกตัวอย่างกลยุทธ์ การ Buy And Hedge (ซื้อและทำประกัน)
สมมุติคุณซื้อหุ้น 1 ตัว 100,000 บาท กำไรมา 20,000 คุณอาจสามารถเลือก ถอนกำไรบางส่วนมาทำกลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงขาลง เช่น Short หุ้นตัวนั้น 5,000 บาท หากหุ้นขึ้นต่อ คุณกำไรคุณจะหายไป 5,000 (แต่ก็ยังกำไร)
แต่หากเกิดเหตุอะไรก็ตามที่ทำให้หุ้นของคุณลง คุณจะสามารถรักษากำไรไว้ได้ และได้ซื้อหุ้นอีกครั้งในราคาที่ถูกลง สิ่งที่ได้แถมมานอกได้ซื้อหุ้นที่ถูกลงแล้ว เรายังลดการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงได้อีกด้วย (Loss Avoidance) ซึ่งทำให้เราถือหุ้นได้นานขึ้นและใช้อารมณ์ในการลงทุนน้อยลง
.
เพราะสิ่งทีคุณซื้อในการลงทุน คือ “ความเสี่ยง” และผลตอบแทนคือ “สิ่งที่คุณคาดหวัง”
เราไม่สามารถควบคุมผลตอบแทนได้ แต่เราสามารถควบคุมความเสี่ยงได้
.
หลายคนรู้จัก Warren Buffett ในฐานะของนักลงทุนระยะยาวมาก ๆ ที่แทบไม่ขายหุ้นหลาย ๆ ตัวเลยตลอดชีวิต แต่ไม่ค่อยมีคนพูดถึงว่าระหว่างทางในการถือหุ้น 1 ตัว Buffett ทำอะไรบ้าง
จริง ๆ แล้วปู่ทำหลายอย่างมาก มีการนำหุ้นไปให้นักลงทุนยืมชอร์ต และรับผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ย, รับเงินเงินปันผลจากการถือหุ้น มีการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงมากมาย รวมถึง Asset Allocation, Diversify ต่าง ๆ เพื่อป้องกันความเสี่ยงขาลง และทำให้การลงทุนของปู่นั้นยังมีการทบต้นอย่างสม่ำเสมอ
.
จากตัวอย่างข้างต้นที่พยายามกล่าวมา น่าจะพอเห็นภาพกันมากขึ้นว่าการป้องกันความเสี่ยงขาลงสำคัญอย่างไร การบ้านของนักลงทุนที่ควรเพิ่มขึ้นคือไม่ใช่ทำอย่างไรให้ตัวเองได้กำไรเยอะ ๆ แต่จะทำอย่างไร ให้พอร์ตลงทุนของตัวเองผันผวนน้อยลง มีความสม่ำเสมอมากขึ้น
.
ในหนังสือ buy and Hedge มีคำพูดช่วงหนึ่งที่น่าสนใจคือ
ถ้าการทบต้นคือ Superman ความผันผวนก็คือ Kryptonite ถ้าเราไม่สามารถป้องกันความผันผวนของพอร์ตได้สุดท้าย Superman ก็จะค่อย ๆ ตายไปจากการมีอยู่ของ Kryptonite
.
BottomLiner