งบการเงินกลุ่มแบงค์สามารถบอกแนวโน้มเศรษฐกิจได้อย่างไร และส่งผลอย่างไรต่อตลาดบ้าง ?
.
ศุกร์ที่จะถึงนี้จะมีแบงค์ใหญ่สหรัฐถึง 3 แบงค์คือ JP.Morgan, Wells Fargo และ Citi จึงเป็นที่มาของบทความนี้ที่เราจะมาพูดกันว่า การรายงานงบการเงินของธนาคารต่าง ๆ นั้น สามารถบอกแนวโน้มเศรษฐกิจได้อย่างไร รวมถึงส่งผลต่อตลาดอย่างไรบ้าง
.
#ทำความเข้าใจเบื้องต้นถึงความสำคัญของแบงค์
แบงค์เป็นสิ่งจำเป็นและสัมพันธ์กับเศรษฐกิจของประเทศโดยตรง ในด้านของการขยายตัวและหดตัวของหนี้และเศรษฐกิจ
เพราะแบงค์มีหน้าที่ในการเป็นตัวกลางจัดหาเงินทุนและกระจายเงินทุนให้คนในประเทศ ทั้งเพื่อใช้อุปโภค บริโภค ขยายธุรกิจ ใน รูปแบบ ’เครดิต’ ซึ่งหนี้สินที่ดีจะนำไปสู่การขยายตัวของเศรษฐกิจ เพราะหนี้ของ 1 คนที่ก่อ จะสร้างรายได้ให้อีกอย่างน้อย 1 คนเสมอ เมื่อเงินถูกส่งต่อไปเรื่อย ๆ ในระบบเศรษฐกิจ ทำให้เงินในระบบหมุนไวขึ้น เศรษฐกิจขยายตัวได้ไวขึ้น ตรงกันข้ามเมื่อทุนที่ปล่อยกู้เหล่านั้นกลายเป็นหนี้เสียก็จะทำให้เศรษฐกิจฝืดเคือง เพราะการเบี้ยวหนี้ของคนหนึ่งก็จะส่งผลต่อรายได้อีกคนหนึ่งเสมอ
.
ในยามแบงค์สบายใจ เศรษฐกิจมีแนวโน้มดี แบงค์ก็จะปล่อยกู้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ในภาวะแบงค์กังวลใจก็จะเคร่งครัดในการปล่อยการกู้ยืม ทำให้เศรษฐกิจเกิดการเร่ง/ชะลอตัว และเกิดเป็นวัฏจักรเศรษฐกิจ
.
ดังนั้นการเติบโตหรือชะลอตัวบนตัวเลขต่าง ๆ ในงบการเงินของแบงค์จะเป็นตัวบ่งบอกแนวโน้มเศรษฐกิจได้ดี ซึ่งเราสามารถ
#สังเกตได้จาก5ส่วน หลัก ๆ บนงบการเงินคือ
.
1. รายได้จากดอกเบี้ย (Interest Income) การปล่อยกู้ต่าง ๆ ของแบงค์จะเป็นรายได้คืนมาในรูปแบบของดอกเบี้ย ซึ่งการเร่งตัวขึ้น/ชะลอตัวลงจากรายได้ดอกเบี้ย จะสัมพันธ์กับการปล่อยกู้ของธนาคารและบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจได้ดี นอกจากนี้แบงค์บางรายจะมีกลุ่มลูกค้าเฉพาะของบริษัท เช่น เช่นเน้นปล่อยกู้เพื่อการซื้อบ้าน การผ่อนรถ เน้นปล่อยธุรกิจ Start Up ก็สามารถใช้รายได้ของแบงค์นั้น ๆ ในการดูแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้
2. คุณภาพหนี้ โดยทั่วไปแบงค์จะมีการสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ เมื่อเกิดความกังวลว่ามีหนี้เสียในระบบมากขึ้นแบงค์จะตั้งสำรองมากขึ้น ตรงกันข้ามเมื่อคุณภาพหนี้มีแนวโน้มสูงขึ้น แบงค์ก็จะตั้งสำรองน้อยลง
หากหนี้เสียเพิ่มขึ้น หมายถึงความสามารถในการชำระเงินของลูกหนี้โดยรวมน้อยลง ความเสี่ยงของธนาคารสูงขึ้น และความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจสูงขึ้น เป็นมุมมองด้านลบต่อตลาดหุ้น
(การตั้งสำรองดังกล่าว จะถูกบันทึกในรูปแบบของรายจ่าย ดังนั้นเมื่อมีการตั้งสำรองสูงขึ้นก็จะกดดันกำไรบริษัทด้วย)
3.Net Interest Margin (NIM) คือค่าส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยที่แบงค์เรียกเก็บจากการปล่อยกู้และ ดอกเบี้ยที่แบงค์ต้องจ่ายในการได้มาของเงินทุนที่นำมาปล่อยกู้ เช่น เงินฝาก ยิ่งส่วนต่างของสองส่วนนี้มากขึ้นเท่าไหร่ แบงค์จะมีกำไรที่มากขึ้น ซึ่งปกติผลกำไรของธนาคารจะค่อยข้างสัมพันธ์กับอัตราดอกเบี้ย โดยหากแบงค์ยังสามารถทำ NIM เพิ่มขึ้นหรือคงไว้ในอัตราเดิมได้จะเป็นบวกกับความสามารถการทำกำไรของแบงค์
4. รายได้จากค่าธรรมเนียม (Fee Income) แบงค์มีรายได้จากบริการอื่น ๆ นอกจากการปล่อยกู้ เช่นการบริหารทรัพย์สิน บริการนายหน้าต่าง ๆ การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมได้ในอัตราที่เพิ่มขึ้น บ่งบอกถึงความต้องการใช้งานบริการในส่วนต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นและสัมพันธ์กับการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ
5. การเติบโตของพอร์ตสินเชื่อ การปล่อยกู้ที่เพิ่มขึ้นนั้น ทำให้เดาได้ว่าลูกค้าของแบงค์ยังมีความสามารถในการชำระเงินที่ดีอยู่ แบงค์จึงมีความมั่นใจในการปล่อยหนี้ให้เพิ่ม ตรงกันข้าม การที่แบงค์ปล่อยกู้น้อยลงก็จะแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในเศรษฐกิจที่น้อยลงด้วย
.
.
คำพูดของผู้บริหารก็เป็น Insight ที่ดีในการดูแนวโน้มของเศรษฐกิจด้วย โดยเราสามารถหาได้เร็ว ๆ จากการดูในส่วนที่เป็น Guidance หรือมุมมองเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจของผู้บริหาร ซึ่งหากภาพรวมมุมมองอนาคตในด้านต่าง ๆ จะส่งผลต่อ Sentiment นักลงทุนค่อนข้างมาก
.
นอกจากนี้กลุ่มแบงค์เองก็มีขนาดใหญ่อยู่ไม่ใช่น้อย โดยกลุ่ม Financial คิดเป็น 13% ของดัชนี S&P500 และ เป็น Sector ที่ใหญ่อันดับ 3 รองมาจาก Healthcare และ Information Technology
แต่ถ้าดูจริงๆ แล้วแบงค์เป็น Sector ที่สำคัญที่สุดของเศรษฐกิจเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นบริษัทที่คอยมอบทุนให้ธุรกิจต่างๆ และช่วยการดำเนินงาน
.
#สรุป
การติดตามงบการเงินกลุ่มแบงค์มีประโยชน์แม้เราจะไม่ได้ซื้อหุ้นแบงค์ไว้ก็ตาม เพราะจะมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจรายงาน รวมถึงมุมมองผู้บริหารที่ส่งผลต่อ Sentiment และสามารถกำหนดทิศทางตลาดได้ซึ่งจะช่วยให้เราวิเคราะห์สถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นอาทิตย์นี้แม้จะวันหยุดสงกรานต์แต่ตลาดหุ้นไม่หยุดนะครับ ใครไม่ได้ไปเที่ยวไหนก็นั่งรอทำการบ้านกันได้เลย
.
BottomLiner