รู้จัก 100 ปีแห่งความอัปยศของจีน ก่อนจะมีวันนี้พี่เจ็บมาเยอะ
#เรียนรู้จากอดีต
รู้จัก 100 ปีแห่งความอัปยศของจีน ก่อนจะมีวันนี้พี่เจ็บมาเยอะ
ประเทศจีนในปัจจุบัน กลายเป็นประเทศที่ขนาดทางเศรษฐกิจ ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกและเติบโตเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าปัจจุบันเม็ดเงินจากจีนมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจไทยมาก หลายธุรกิจในหลายประเทศทั่วโลกก็ไม่ต่างกัน เรียกว่าปัจจุบันจีนกลายเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่และมีอิทธิพลมาก ประเทศหนึ่งของโลก
แต่เชื่อหรือไม่? ว่าภาพที่ยิ่งใหญ่ที่เรารู้จักในปัจจุบันนั้น มีจุดเริ่มต้นในช่วง 1970
หรือใช้เวลาประมาณ 50 ปีเท่านั้น
และก่อนหน้านั้นจีนต้องเผชิญกับ 100 ปีแห่งความยากลำบาก (1845-1945)
ซึ่งเป็นช่วงที่ตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์จีน และเป็นช่วงที่หลายอย่างถูกปูพื้นฐานให้จีนกลายเป็นจีนอย่างที่เห็นทุกวันนี้ บทความนี้เราจะมาสรุปเรื่องราวในช่วงเวลานั้นให้ฟังแบบสั้น ๆ ง่าย ๆ กันครับ
#จุดเริ่มต้นของความอัปยศของจีน
เริ่มในช่วง 1800 จากปัจจัยภายใน ซึ่งราชวงศ์ชิงอ่อนแอและเต็มไปด้วยการคอร์รัปชั่น ทำให้เกิดการต่อต้านอย่างรุนแรงจากประชาชน
ในขณะที่ปัจจัยภายนอกคือการเรืองอำนาจของอังกฤษซึ่งเศรษฐกิจและนวัฒกรรมต่าง ๆ เติบโตอย่างรวดเร็วจากการเป็นศูนย์กลางปฏิวัติอุตสาหกรรมโลกครั้งที่ 1
ในยุคนั้น สินค้าจากจีนเช่น เครื่องเซรามิค ชา ผ้าไหม เป็นสินค้าหรูที่ราคาสูงและเป็นที่ต้องการอย่างมากในยุโรป อังกฤษจึงต้องการแลกเปลี่ยนสินค้ากับจีนมาก ๆ
แต่ทางฝั่งจีนนั้นไม่มีสินค้าใด ๆ ที่ต้องการจากอังกฤษเลย
อังกฤษจึงทำการซื้อสินค้าจากจีนด้วยแร่เงิน จนในที่สุดอังกฤษก็ไม่มีแร่เงินให้ซื้อ/ขายกับจีน
อังกฤษเลยคิดไอเดียดี ๆ ออก โดยการนำฝิ่นที่ปลูกที่อินเดีย ซึ่งเป็นอาณานิคมของอังกฤษไปแลกกับสินค้าในจีน
ในที่สุดจีนก็ติดฝิ่นกันงอมแงม ทางการจีนเห็นท่าไม่ดีจึงพยายามหยุดการค้านั้น นำมาสู่ความขัดแย้งกับอังกฤษเกิดเป็นสงครามฝิ่น (1849-1852) และจีนพ่ายแพ้ให้อังกฤษอย่างหมดรูป จากเทคโนโลยีเรือปืนกลของอังกฤษ ซึ่งถูกคิดค้นขึ้นในช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรม
การพ่ายแพ้ดังกล่าว ทำให้อังกฤษไม่ต้องทำตามกฏหมายในจีน เรียกร้องแร่เงินจำนวน 18,000 ตัน (ซึ่งทำให้จีนเป็นหนี้ไปอีก 40 ปีต่อจากนั้น) ประชาชนติดฝิ่นกันเละเทะ รวมถึงอังกฤษได้เกาะฮ่องกงไว้ในครอบครองเพื่อทำเป็นท่าเรือสินค้า
แน่นอน เรื่องแบบนี้เหมือนเลือด 1 หยดกลางฝูงฉลาม พอจีนพ่ายแพ้ให้อังกฤษ ก็ตามมาด้วยการเสียดินแดนเพิ่มเติมให้ฉลามอื่น ๆ เช่น เสียส่วนมองโกเลียให้รัสเซีย เสียไต้หวันให้ญี่ปุ่น
นอกจากสงครามระหว่างประเทศ สงครามในประเทศก็หนักเช่นกัน เมื่อพ่ายแพ้ให้กับต่างชาติ จึงเกิดคนที่ต่อต้านกับระบอบการปกครองเดิมจำนวนมากและทำให้มีการก่อกบฏและพยายามปฏิวัตินับครั้งไม่ถ้วน ครั้งที่ใหญ่ที่สุดเรียกว่า “กบฏ Boxer” ซึ่งมีคนเสียชีวิตกว่า 1แสนคน (ที่เรียกแบบนี้เพราะสมาชิกกลุ่มกบฏมีการฝึกมวยจีนเพื่อใช้ในต่อสู้)
สงครามทั้งในและระหว่างประเทศนำมาสู่การใช้จ่ายและกู้หนี้ยืมสินจำนวนมากของทางการ ทำให้การคลังอ่อนแอ ตามมาด้วยเงินเสื่อมค่าและเงินเฟ้ออย่างรุนแรง
ด้วยการถูกประเทศทุนนิยมหลายชาติทำร้ายอย่างรุนแรงมาเป็นเวลานาน คนในประเทศจึงเกลียดทุนนิยม รวมถึงเกลียดระบอบกษัตริย์ที่ทำให้ประเทศบอบช้ำมาเป็นร้อยปี เป็นปัจจัยทำให้หลังจากสิ้นสุดระบอบกษัตริย์จากการการปฏิวัติซินไฮ่ (1911) ของซุน ยัตเซ็น จีนเลยหันหลังให้ระบอบทุนนิยมและระบอบกษัตริย์
แต่จีนก็ยังอ่อนแอจากทั้งสงครามทั้งในและนอกต่อไปอีกกว่า 30 ปี มีความพยายามเปลี่ยนประเทศให้เป็นระบอบประชาธิปไตยอยู่นานปี แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะถูกเผด็จทางทหารครองอำนาจ
ภายหลังจากเผด็จการทหารเสื่อมอำนาจไปในปี 1916
ประเทศจีนก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ โดยแต่ละพื้นที่ของประเทศมีการปกครองที่หลากหลายมาก ๆ
และเริ่มกลับมารวมเป็นปึกแผ่นได้โดย 2 แนวคิดระบอบการปกครองหลัก คือระหว่างเผด็จการทหารที่นำโดยเจียง ไคเชก และ คอมมิวนิสต์ นำโดยเหมา เจ๋อตุง ในช่วง 1927 เป็นต้นมา
ซึ่งทั้ง 2 แนวคิดตีกัน อย่างรุนแรงเป็นเวลาร่วม 10 ปี แต่หันมาจับมือกันเพราะญี่ปุ่นยกทัพบุกจีนที่นานจิงและเกิดการสูญเสียครั้งใหญ่ที่นั้น ซึ่งอยู่ในช่วงต่อเนื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นเอง
การนับ 100 ปีของความอัปยศจีน เพิ่งจบลงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
หลังจากโลกทั้งใบบอบช้ำจากสงครามโลก พอที่จะมีเวลาให้จีนได้หยุดพักหายใจ
ความขัดแย้งในประเทศจบลงด้วยบทสรุปที่ ระบอบคอมมิวนิสต์ก่อตั้งในจีน และจีนเผด็จการหนีไปไต้หวัน นับเป็นการจบช่วงเวลาอันยากลำบากของจีนกว่า 100 ปี
BottomLiner