สรุปมุมมอง Guru จากงาน Finnomena Press Conference
คุณ กสิณ สุธรรมมนัส CEO ของ Finnomena
พูดถึง #ภาพรวมพฤติกรรมนักลงทุนที่เปลี่ยนไป
โดยในปี 2021 ที่ผ่านมา เป็นปีที่ Finnomena เติบโตได้สุดปัง
ทำรายได้เติบโตกว่า +192%
ในขณะที่กำไร เติบโตกว่า +497%
โดยคุณกสิณแจ้งว่า หากสังเกตุจากนักลงทุนที่ลงทุนกับ Finnomena จะพบว่า นักลงทุนในช่วงที่ผ่านมามีการจับจังหวะการลงทุนมากขึ้น ใช้ความรู้และข้อมูลที่หลากหลายเป็นตัวช่วยในการจับจังหวะ และสลับกองทุน
ซึ่งนักลงทุน Focus ได้ดีขึ้น เลี่ยงการกลัวตกรถไล่ซื้อทุกราคาลดลง
.
อีกด้านหนึ่งนักลงทุนที่ลงทุนแบบ DCA เพิ่มขึ้นเยอะมาก โดยในปัจจุบันมีนักลงทุนที่ลงทุนแบบ DCA ผ่าน Finnomena มากกว่า 100 ล้าน/เดือนแล้ว หรือ +60% YoY
และนักลงทุนที่อายุต่ำกว่า 40 ปี เพิ่มขึ้นกว่า 60% YoY
ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรู้และความสนใจการลงทุนที่เพิ่มขึ้นของคนรุ่นใหม่
.
ในขณะเดียวกัน เงินเฟ้อที่สูงขึ้นทั่วโลก (สูงสุดในรอบ 40 ปี)
ทำให้ กลุ่มบริษัทจำนวนมากชะลอการลงทุนและเริ่มหาโอกาสจากการลงทุนในตราสารหนี้เพิ่มขึ้น เพราะดอกเบี้ยขาขึ้นนั้นช่วยทำให้ผลตอบแทนตราสารหนี้น่าสนใจมากขึ้น
.
สถานการณ์การลงทุนปัจจุบัน อยู่ในช่วงที่เสี่ยง Stagflation หรือภาวะเงินเฟ้อที่สูงทำให้ผู้คนจับจ่ายใช้สอยน้อยลงส่งผลให้บริษัทต่าง ๆ มีอัตราเติบโตที่ลดลงด้วย
ความเสี่ยงสุดท้าย (ที่ยังไม่มา) คือ อัตราการว่างงานที่เพิ่มสูง หากสิ่งนี้มาเมื่อไหร่เราจะเจอ Stagflation อย่างแน่นอน
.
ภาวะผันผวน การลงทุนที่ยากขึ้น ทำให้ Finnomena สนใจทำ Project – Guru Port ขึ้นมาเพิ่ม
โดยมีจุดมุ่งหมายปลายทางที่อยากให้นักลงทุนไทยสามารถจับปลากินได้ด้วยตัวเอง โดยเริ่มจากการใช้ Investment Guru เป็นแนวทางในการลงทุน เพื่อหาทางเติบโตในแบบของตนเองได้
.
คุณ Andrew Stotz หนึ่งใน Guru ที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโครงการแรก ได้มาพูดเสริมมุมมองการลงทุนว่า
ตอนนี้ทั่วโลกกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน จากความมั่นคงด้านอาหาร แม้ไทยจะไม่ได้รับผลกระทบเพราะประเทศไทยมีความมั่นคงด้านอาหาร (มีแหล่งอาหารในประเทศ) แต่หลาย ๆ ประเทศทั่วโลกนั้นไม่มีและเริ่มเกิดภาวะขาดแคลนอาหารแล้ว
.
ในขณะที่ยุโรปนั้นกำลังตกที่นั่งลำบากจากปัญหาด้าน Geopolitical และทำให้ขาดแคลนอาหาร แก๊สและน้ำมัน ซึ่งหากตนแนะนำรัฐบาลไทยได้ตอนนี้อยากสนับสนุนให้เพิ่มผลผลิตทางการเกษตรและอาหารต่าง ๆ ไว้ให้ได้มากที่สุด
.
สำหรับการลงทุนของ คุณ Andrew Stotz นั้นค่อนข้างทำผลงานได้โดดเด่น จากการเห็นปัญหาด้านพลังงานที่จะเกิดขึ้น เลือกปรับพอร์ตลงทุนให้ลงทุนใน Commodities และบริหารพอร์ตด้วยกลยุทธ์ All Weather Strategy
.
#GuruPort
สำหรับ Guru ที่จะมาเพิ่มในรอบนี้ประกอบด้วย 3 ทีมด้วยกัน
=====
MacroView – MRI Scan
#แนะนำMacroview
ดร.บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ เจ้าของเพจ Macroview
ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาให้ บลจ.และ บลน. ต่าง ๆ
ติดตามเรื่อง Macro และ มีประสบการณ์ทำงานใน Risk Management มามากกว่า 25 ปีแล้ว
โดย Guru Port ที่ทำขึ้น เน้นเรื่องFinancial Stability และ Risk เป็นสำคัญ
เช่น Valuation Risk, Black Swan Risk, Geopolitical Risk เป็นต้น
ทั้งนี้ ดร.บุญธรรม แบ่งการบริหารพอร์ตลงทุนเป็น 4 ส่วนคือ Super Core, Core, Satelite และ Rocket ซึ่งแต่ละส่วนจะมีระยะเวลาในการถือ และ ความเสี่ยงไม่เท่ากัน
=====
BottomLiner – Optimal Megatrend Opportunities (OMO)
#แนะนำBottomLiner
ปัจจุบันเน้น Research ต่างประเทศเป็นหลัก ทั้งหุ้นรายตัวและกองทุน ซึ่ง Core หลักในการลงทุนของ BottomLiner ยึดถือ 3 ข้อ
1. Fundamental (รู้ว่าสิ่งที่ลงทุนดีไหม)
2. Event timeline (จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต)
3. Sentiment (นักลงทุนทั้งสถาบันและรายย่อยคิดอะไรอยู่)
เพื่อเลือกหุ้นที่ใช่ในเวลาที่ถูกต้อง
.
ทั้งนี้ Guru Port ของ BottomLiner มีจุดประสงค์เพื่อหาโอกาสลงทุนในช่วง 6เดือน – 2 ปี เน้นหาบริษัทที่มี New S Curve ทั้งด้านการเติบโตและ Sentiment นักลงทุน
ปรับพอร์ตแบบ Dynamic ใช้ Risk Budgeting แบบ Ray Dalio, Andrew Stotz รันโมเดล
กว่า 1 ล้านครั้งเพื่อ Balance ความเสี่ยงและหาสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสมที่สุด
=====
Deepscope – Growth Momentum
#แนะนำDeepscope
เป็น Startup ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากหลายประเทศทั่วโลก ก่อตั้งมา 7 ปีแล้ว โดยมี AI เป็น Core หลักในการทำงาน ปัจจุบันกำลังขยายไปทั่วเอเชีย ทำงานหลังบ้านให้หลาย ๆ บล. และมีกองทุนในเวียดนาม
Deepscope เชี่ยวชาญด้านการฝึก Genetic Algorithm ใช้การป้อนข้อมูลและปรับ AI ให้มีความแม่นยำมากขึ้น และนำ AI ที่ได้มาเลือกกองทุนที่มี Momentum ดี ไตรมาสละ 5 กองทุน และ Rebalance เลือกใหม่ทุก ๆ ไตรมาส
=====
#มุมมองการลงทุนครึ่งปีหลัง
#Macroview
มองว่าเศรษฐกิจครึ่งปีหลังมีปัจจัยเสี่ยง 5 ข้อหลักด้วยกัน ซึ่งนักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด
– อัตราการว่างงาน Demand / Supply
– Yield Gap ที่เกิดบนตลาด Bond ทั่วโลก
– นโยบายการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีน
– เงิน Yen ของญี่ปุ่น
– QT ซึ่งจะแรงขึ้นช่วงเดือนตุลาคม (อาจทำให้ Bond ถูกเทขายและ Yield พุ่งสูง ถ้าเกิดขึ้นข้อนี้จะอันตราย)
เงินเฟ้อน่าจะพีคปลายไตรมาส 3 ช่วงก่อนการเลือกตั้ง และปลายปีหน้ามีโอกาสเกิด Recession
=====
#BottomLiner
ปัจจุบันราคาทรัพย์สินทุกชนิดลงมาค่อนข้างแรง
และนักลงทุนรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลาง deadlock ที่ไร้ทางออก
ตลาดหุ้นดูไม่น่าสนใจเท่าไหร่ และหลายคนเริ่มหันไปสนใจลงทุน Commodity มากขึ้น
แต่ถ้ามองดี ๆ จะมีโอกาสในการลงทุนเสมอ
โดยในปัจจุบัน bottomLiner เห็นข้อดีจากการลงทุนในธีม Electricfication หรือการเปลี่ยนมาใช้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น หนึ่งในนั้นที่ชัดที่สุดคือ EV เพราะเป็น trend ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล มี new S-Curve และกำลังเกิดการ Breakeven มีต้นทุนที่ลดลงจนสามารถแข่งขันกับรถพลังงานสันดาปได้แล้ว
=====
#Deepscope
ตอนนี้เศรษฐกิจมีความผันผวนมาก ลงทุนยาก นักลงทุนควรหันมาให้ความสนใจกับการติดตาม data ต่าง ๆ ให้มากขึ้นทั้งการติดตามเรื่อง Macro และ Megatrend ต่าง ๆ รวมถึงหมั่น Review พอร์ตลงทุนตัวเองบ่อย ๆ ทำให้เป็นวินัย