กองทุนกลุ่ม Commodity ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี
จากสถานการณ์ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์อย่างชัดเจน โดยเฉพาะราคาน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และข้าวสาลี เนื่องจากรัสเซียเป็นผู้ส่งออกอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งเมื่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้นมากๆ จะทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าทั่วโลกสูงขึ้นด้วย
.
ในช่วงที่ผ่านมาเราได้เผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งโรคระบาด ภาวะเงินเฟ้อ รวมถึงสงครามที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นหนึ่งในปัจัยที่ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้นลง งั้นเราตามมาดูกันว่า กองทุนกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ จะปรับตัวสูงขึ้นตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์มากน้อยแค่ไหน
.
สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) คือ สินค้าประเภทที่มีลักษณะเหมือนกันทั่วโลก หรือต่างกันเล็กน้อยในระดับที่แยกได้ยาก จึงเป็นสินค้าที่มีมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ผลิตก็ตาม ดังนั้น ราคาของสินค้าโภคภัณฑ์จึงถูกกำหนดโดยอุปสงค์และอุปทานของตลาดโลก ส่งผลให้ราคาเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกันทั่วโลกนั่นเอง
.
ในด้านการลงทุน สินค้าโภคภัณฑ์ถือเป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่นักลงทุนนำมาจัดพอร์ตเพื่อกระจายความเสี่ยง เพราะราคาสินค้าโภคภัณฑ์มักจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับราคาพันธบัตรและราคาหุ้น และในระยะยาวราคาสินค้าโภคภัณฑ์ก็จะปรับเพิ่มตามภาวะเงินเฟ้อด้วย
.
โดยสินค้าโภคภัณฑ์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ
1. Hard commodity – สินค้าโภคภัณฑ์จากธรรมชาติ มนุษย์ไม่สามารถผลิตเองได้ เช่น แร่ธาตุ ทองคำ น้ำมัน เงิน แพลทินัม
2. Soft commodity – สินค้าโภคภัณฑ์ที่เกิดจากการผลิตของมนุษย์ โดยส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าทางการเกษตร เช่น เมล็ดกาแฟ ไม้แปรรูป น้ำตาลข้าวสาลี ถั่วเหลือง
.
ดัชนีราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity Index) ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมใช้อ้างอิงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น
– S&P Goldman Sachs Commodities Index (S&P GSCI)
– Dow Jones Commodity Index (DJCI)
– Rogers International Commodities Index (RICI)
ซึ่งแต่ละดัชนีจะแตกต่างกันที่ชนิดและน้ำหนักสัดสวนของโภคภัณฑ์ที่นำมาคำนวณอยู่ในดัชนี บางดัชนีก็จะให้น้ำหนักแต่ละโภคภัณฑ์เท่ากัน ส่วนดัชนีที่ให้น้ำหนักแต่ละโภคภัณฑ์ไม่เท่ากัน เราพบว่า ส่วนใหญ่จะให้น้ำหนักกับกลุ่มน้ำมันมากที่สุด รองลงมาคือ สินค้าทางการเกษตร เช่น ข้าวสาลี ข้าวโพด
.
สำหรับนักลงทุนไทยที่สนใจอยากลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ สามารถลงทุนผ่านกองทุนรวมของบลจ. ในประเทศที่ไปลงทุน ETF ในต่างประเทศอีกต่อหนึ่ง ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกที่สุด
.
#กองทุนไทยที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ สามารถแบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ
.
1. #กองทุนทองคำ
ส่วนใหญ่กองทุนในไทยจะลงทุนใน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุนทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีเพียงบางกองทุนที่ลงทุนในทองคำแท่งโดยตรง
โดยกองทุนทองคำที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดตั้งแต่ต้นปีนี้ 5 อันดับแรก คือ
– K-GOLD-A(A) ผลตอบแทนย้อนหลัง YTD +6.14%
– K-GOLD-A(D) ผลตอบแทนย้อนหลัง YTD +6.11%
– SCBGOLDH ผลตอบแทนย้อนหลัง YTD +5.96%
– KF-HGOLD ผลตอบแทนย้อนหลัง YTD +5.83%
– I-GOLD ผลตอบแทนย้อนหลัง YTD +5.83%
.
กองทุนในไทยจะลงทุนใน WTI Crude Futures หรือสัญญาส่งน้ำมันล่วงหน้าของ West Texas Intermediate ซึ่งจะมี Feeder Fund ที่ลงทุน 2 ประเภท คือ เน้นสัญญาที่อายุสั้นที่สุด (ประมาณ 2-6 อาทิตย์) เพื่อให้ผลตอบแทนสอดคล้องกับความเคลื่อนไหวราคาน้ำมันในระยะสั้น และ เน้นสร้างผลตอบแทนใกล้เคียง Deutsche Bank Liquid Commodity Index-Optimum Yield Crude Oil Excess Return หรือ ดัชนีที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าน้ำมันดิบ WTI ในตลาดนิวยอร์ค
โดยกองทุนน้ำมันที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดตั้งแต่ต้นปีนี้ 5 อันดับแรก คือ
– TUSOIL ผลตอบแทนย้อนหลัง YTD +18.45%
– I-OIL ผลตอบแทนย้อนหลัง YTD +17.99%
– K-OIL ผลตอบแทนย้อนหลัง YTD +14.42%
– KF-OIL ผลตอบแทนย้อนหลัง YTD +13.84%
– TISCOOIL ผลตอบแทนย้อนหลัง YTD +13.73%
.
ปัจจุบันมีกองทุนในไทยเพียงกองทุนเดียวที่ลงทุนในสินค้าเกษตร คือ กองทุน K-AGRI
ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Invesco DB Agriculture Fund เป็นกองทุนหลัก โดยลงทุนในฟิวเจอร์สสินค้าโภคภัณฑ์ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี DBIQ Diversified Agriculture Index Excess ReturnTM ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนถึงมูลค่าตลาดของสินค้าโภคภัณฑ์ในหมวดสินค้าเกษตรกรรม โดยมีสินค้าตัวแปร คือ ข้าวโพด, ถั่วเหลือง, ข้าวสาลี, ข้าวสาลี Kansas City, น้ำตาล, โกโก้, กาแฟ, ฝ้าย,ปศุสัตว์ เช่น Live Cattle, Feeder Cattle และ Lean Hogs
ผลตอบแทนย้อนหลัง YTD ของกองทุน K-AGRI อยู่ที่ +4.16%
.
เป็นกองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์โภคภัณฑ์หลากหลายชนิด ทั้งทองคำ น้ำมัน สินค้าเกษตร หรือเรียกง่ายๆ ว่า กองทุนสินค้าโภคภัณฑ์แบบผสม ปัจจุบันกองทุนในไทยมีอยู่ 3 กองทุน โดยกองทุนหลักจะลงทุนผ่านสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
โดยกองทุนสินค้าโภคภัณฑ์ทำผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีนี้ ได้ดังนี้
– UOBSC ผลตอบแทนย้อนหลัง YTD +15.10%
– SCBCOMP ผลตอบแทนย้อนหลัง YTD +14.92%
– PRINCIPAL-GCF ผลตอบแทนย้อนหลัง YTD +12.87%
.
ทั้งนี้ กองทุนกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ส่วนใหญ่จะเป็นกองทุนที่ไปลงทุนในหน่วยลงทุนต่างประเทศ ดังนั้นจึงมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มเข้ามา สำหรับคนที่ไม่อยากเสี่ยงด้านค่าเงิน แนะนำเลือกกองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดจะดีกว่า
.
ข้อมูล ณ วันที่ 1 มี.ค. 2565
.
BottomLiner