#1
คิดตามความเป็นจริง – การลงทุนไม่ได้ง่ายดาย
หากดูสถิติจาก 15 ปีที่ผ่านมาบนตลาด S&P 500 มีผู้จัดการกองทุนน้อยกว่า 10% เท่านั้นที่เอาชนะตลาดได้ ดังนั้นสำหรับรายย่อยมันบอกได้เลยว่ามันเป็นเกมที่ยาก
โดยเฉพาะเมื่อคุณพยายามเอาชนะตลาด
นั้นหมายความว่าคุณต้องยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้น และมีความรู้มากขึ้น
.
นอกจากนั้นค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จะค่อย ๆ กัดกินเงินต้นของคุณเสมอ ไม่ว่าคุณจะกำไรหรือขาดทุน ดังนั้นเราต้องพยายามสร้างผลตอบแทนให้มากกว่าต้นทุนที่ต้องจ่ายเสมอ และคิดบวกเพิ่มไปในความเสี่ยงที่คุณต้องเผชิญ
.
#2
อดทนรอโอกาสที่ Risk/Reward จะเบี่ยงเบนจากความจริงจนน่าสนใจ
เว้นเสียแต่ว่าคุณสามารถกะเวลาที่ควรซื้อ-ขายได้อย่างแม่นยำ อย่างน้อยที่สุด win rate ในการซื้อขายควรอยู่ที่ 40-60%
.
ซึ่งการที่ win rate ต่ำกว่า 50% แต่สามารถอยู่รอดในตลาดได้ หมายความว่าคุณต้องจำกัดความเสี่ยงขาดทุนในแต่ละครั้งให้เล็กลง จนถึงเล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้
และเมื่อชนะต้องมากพอที่จะครอบคลุมการตัดขาดทุนทั้งหมดนั้น
ปิดความเสี่ยงขาลง (downside) แต่เปิดความเสี่ยงขาขึ้น (upside) คือเคล็ดลับที่สำคัญในกรณีนี้
ซึ่งทำได้หลากหลายวิธีแล้วแต่นักลงทุนหรือ เทรดเดอร์แต่ละคนถนัด
.
#3
ตัดการขาดทุน และ Let Your Profit Run
จากการสอบถามนักลงทุนบน trading floor ว่าพวกเขา Set up ระบบเทรดอย่างไร
คำตอบที่ได้ยินส่วนใหญ่จะเป็น เริ่มต้นเทรดด้วยการตัดขาดทุน จากนั้นคิดว่าจะซื้อหรือเทรดอะไร
(ในฝั่งของนักลงทุนที่ถือยาว ก็ควรจะกล้าตัดขาดทุนได้กรณีที่ผิดแผนตัวเอง)
.
เพราะมันจะทำให้คุณไม่ต้องทนอยู่กับแผนที่ผิดพลาดของตัวเอง – ยอมรับความจริง
จงเลี้ยงดูทุก Position ในพอร์ตอย่างเท่าเทียม และจบมันเมื่อมันผิดแผน
การอย่าใส่ความรู้สึก (bias) เข้าไปจนไม่มองความเป็นจริง
.
สามารถใช้กลยุทธ์อย่างการแบ่งไม้ขาย หรือ ตั้งเป้าราคาที่จะขาย
ซึ่งการแบ่งไม้ขายจะเหมาะสมกับคนที่มีความสามารถในการเทรดประมาณหนึ่ง
มันจะช่วยจำกัดความเสี่ยงขาลง (downside risk) เมื่อเกิดการเปลี่ยนเทรนของราคา
#4
กะขนาดของ Position ในการลงทุน/เทรดให้เหมาะสมกับการซื้อ-ขาย
ผู้คนส่วนใหญ่มักใช้ขนาดในการเทรดที่เท่า ๆ กันในการซื้อ-ขายแต่ละครั้ง แต่ในความเป็นจริงความผันผวนในแต่ละทรัพย์สินไม่ได้เท่ากัน และทำให้ผลกระทบที่เกิดกับพอร์ตของคุณไม่เท่ากันด้วย
.
ถ้าตามหลักการทั่วไปควรกำหนดขนาดของ Position ตำแหน่งการตัดขาดทุน ตามความผันผวนของทรัพย์สิน
ควรตั้งคำถามไว้เสมอว่า
1. ในการซื้อสินทรัพย์ครั้งนี้พร้อมที่จะเสียเงินหรือขาดทุนได้เท่าไหร่ (และคำตอบควรจะเป็นสัดส่วนน้อย ๆ ในการลงทุนด้วย )
2. ความผันผวนและโอกาสเกิดมากขนาดไหนที่ทำให้สินทรัพย์นั้นไปถึงจุดตัดขาดทุนของเรา
ตัวอย่างที่แย่เช่น
เรารู้ว่าคริปโตมีความผันผวนที่สูง การแกว่งของราคาเป็นเรื่องปกติ
ดังนั้นการตั้งตัดขาดทุนไว้ต่ำ ๆ เช่น 1% รวมถึงการลงทุนในทรัพย์สินที่มีความไม่แน่นอนสูงเป็นส่วนใหญ่ของพอร์ต เช่น 20 % อาจเป็นเรื่องที่ไม่ดีนัก
.
#5
ป้องกันและกระจายความเสี่ยง
การลงทุนกลุ่มหุ้นเดียวกันทำให้พอร์ตลงทุนเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันเสมอเป็นสิ่งที่อันตราย ดังนั้นควรมีการกระจายความเสี่ยงให้ดีในแง่ อุตสาหกรรม ปัจจัยเชิงบวก เชิงลบ ให้หลายหลาย ทำให้การเคลื่อนไหวของราคาไม่ไปในทิศทางเดียวกัน
สำหรับเรื่องการป้องกันความเสี่ยง คือการซื้อ Short หรือการถือ position ที่เคลื่อนไหวในทิศตรงกันข้ามกับทรัพย์สินโดยตรงนั้น ในตลาดไทยยังไม่ค่อยมีเครื่องมือที่พร้อมให้รายย่อยเข้าถึงได้มากนัก แต่ในต่างประเทศมีเครื่องมือที่หลากหลายมากมากเช่น Future, Inverted ETF, Option เป็นต้น ทำให้การป้องกันความเสี่ยงหรือ hedge ทำได้สะดวกกว่าในตลาดไทย
สามารถอ่านเรื่องการ Hedge เพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/bottomlinerglobal/posts/pfbid0u835Q4kyjgSHuDdXFEFb4fXb2KWbTYZXKJw7gdc3REsDzPRFYqp3D5TvZaq7XHm5l
.
BottomLiner
.
Source: @MacroAlf