ลดหย่อนภาษีไปพร้อมกับกองทุนที่จะเปลี่ยนโลกให้ดีขึ้น
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เทรนด์การลงทุนในกองทุนที่ลงทุนอย่างยั่งยืน (Sustainability Investment) หรือ กองทุนรวม ESG กำลังได้รับความนิยมมากโดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนในประเทศไทยก็เพิ่งเริ่มได้รับความนิยมเช่นกัน และคาดว่าจะเป็นอีกเทรนด์การลงทุนที่มาแรงในปีนี้
เห็นข้อมูลแล้วก็ยืนยันเทรนด์จริงๆ
เพราะกองทุนรวม ESG ในไทย มีเม็ดเงินไหลเข้ามาเพิ่มขึ้นชัดเจน
ช่วงปี 2562 เงินไหลเข้าที่ 3.1 พันล้านบาท
ส่วนปี 2563 มีเม็ดเงินไหลเข้า 1.5 หมื่นล้านบาท (สูงขึ้น 5 เท่าจากปีก่อนหน้า)
และเพียงสองเดือนแรกของปี 2564 ก็มีเงินไหลเข้ามาถึง 1.1 หมื่นล้านบาท
(ข้อมูลจาก Morningstar Direct ณ สิ้นเดือนก.พ. 2564)
ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจให้มากยิ่งขึ้นว่า ESG คืออะไร
ESG ประกอบด้วย
- Environmental (E) ด้านสิ่งแวดล้อม จะดูว่ากระบวนการทำงานของบริษัทส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ หรือทำลายสิ่งแวดล้อมหรือไม่
- Social (S) ด้านสังคม จะดูในส่วนของความปลอดภัยในการทำงาน ความเท่าเทียมกันระหว่างพนักงาน รวมไปถึงสวัสดิการของพนักงาน
- Governance (G) ธรรมาภิบาล จะดูว่าบริษัทมีความซื่อสัตย์หรือไม่ ผู้บริหารบริหารงานเป็นอย่างไร และแนวทางในการดำเนินธุรกิจ
ซึ่งทั้ง 3 ปัจจัยนี้ ถือเป็นตัววัดอีกอย่างหนึ่งว่า บริษัทนี้ “ดี” แค่ไหน
สาเหตุที่ ESG เริ่มได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากยิ่งขึ้น เพราะคนส่วนใหญ่เริ่มตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น เรื่องโลกร้อน เรื่องการทำลายสิ่งแวดล้อม เป็นต้น จึงทำให้นักลงทุนหันมาสนใจลงทุนในธุรกิจที่มีความยั่งยืนในระยะยาว และต้องสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมด้วย
วันนี้เรามีกองทุนมาแนะนำที่สอดคล้องตามไปกับธีม ESG ก็คือ กองทุน K-CHANGE-SSF (เป็นกองทุนรวมสำหรับลดหย่อนภาษี)
สำหรับคนที่ไม่ได้ใช้สิทธิลดหย่อน ก็มีกองทุนทั่วไป คือ K-CHANGE ซึ่งลงทุนในกองทุนหลักกองเดียวกัน
กองทุน K-CHANGE-SSF ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Baillie Gifford Positive Change Fund – Class B accumulation เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัททั่วโลก ซึ่งเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์หรือมีพฤติกรรมที่ส่งผลกระทบเชิงบวก (Positive Impact) ต่อสังคมโดยรวม สนับสนุนให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น 4 ด้าน คือ ความครอบคลุมทางสังคมและการศึกษา ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม การดูแลสุขภาพและคุณภาพชีวิต และการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสทางสังคม
แค่พูดถึงการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบเชิงบวกก็เริ่มน่าสนใจขึ้นมาแล้วใช่มั้ย งั้นเราไปเจาะลึกทั้ง 4 ธีมกันว่าคืออะไร แล้วแต่ละธีมมีหุ้นไหนน่าสนใจบ้าง
- Social Inclusion and Education คือ การมีส่วนร่วมความเท่าเทียมกันทางสังคมและพัฒนาด้านการศึกษา
ตัวอย่างหุ้นที่น่าสนใจ
ASML – สัดส่วนการลงทุน 7.04%
- ผู้นำด้านการผลิตชิ้นส่วนที่สำคัญในอุตสาหกรรม Semiconductor ด้วยการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ชิฟในอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ หรือในเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ รวมถึงชิ้นส่วนขนาดเล็ก (Microelectronics)
- บริษัทได้พัฒนาให้ชิปมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ในขณะที่ต้องทำให้ต้นทุนถูกลง เพื่อให้คนทั่ววไปสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้มากขึ้น
- Environment and Resource Needs คือ การพัฒนาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากร
ตัวอย่างหุ้นที่น่าสนใจ
Tesla Inc. – สัดส่วนการลงทุน 8.20%
- บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (Electric Car) แผงโซล่าเซลส์ (Solar Panel) และ Clean Energy Storage โดยมีผู้บริหารรชื่อดังอย่าง Elon Musk นอกจากนี้ยังผลิตรถยนต์ประเภทใหม่ๆ เช่น รถบรรทุก รถบัส
- รถยนต์ของ Tesla ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการลดการปล่อย CO2 และกระบวนการผลิตก็ยังยังคำนึงถึงการผลิตที่ส่งผลกระทบต่อสังคมให้น้อยที่สุด
- Healthcare and Quality of Life คือ ด้านสุขภาพและการยกระดับด้านคุณภาพชีวิต
ตัวอย่างหุ้นที่น่าสนใจ
M3 – สัดส่วนการลงทุน 4.1%
- แพลตฟอร์มทางการแพทย์ออนไลน์ในญี่ปุ่น และได้ขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศด้วย เช่น สหรัฐฯ จีน อินเดีย เป็นต้น
- ช่วยสร้างเครือข่ายแพทย์กว่า 6 ล้านคนทั่วโลก ทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงการแนะนำของแพทย์ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง แต่ก็ยังมีประสิทธิภาพเหมือนเดิม รวมถึงช่วยให้เข้าถึงแพทย์ได้ง่ายและสะดวกสบายมากขึ้นอีกด้วย
- Base of the Pyramid คือ การให้โอกาสทางสังคม ช่วยเหลือคนระดับชนชั้นล่างหรือคนที่มีรายได้น้อย
ตัวอย่างหุ้นที่น่าสนใจ
Bank Rakyat Indonesia – สัดส่วนการลงทุน 1.96%
- หนึ่งในธนาคารรัฐวิสาหกิจของอินโดนีเซียที่มีขนาดใหญ่สุด ให้บริการทางการเงิน Microfinance สำหรับกลุ่มคนผู้มีรายได้ต่ำ และ SMEs
- ช่วยให้คนอินโดนีเซียสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ง่ายขึ้น เพื่อจะนำเงินไปพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น
สิ่งที่ต้องระวังของกองทุน K-CHANGE-SSF และ K-CHANGE-RMF มีอะไรบ้าง
- ความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกในประเทศใดประเทศหนึ่ง (High Country Concentration Risk) ของกองทุน Baillie Gifford Positive Change Fund โดยจะกระจุกตัวในประเทศสหรัฐฯ ประมาณ 42.7% ของพอร์ต
- ความผันผวนของผลการดำเนินงาน (standard deviation) คือ 20.60% ต่อปี
- กองทุนนี้เคยมีผลขาดทุนสูงสุด (maximum drawdown) ) นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน คือ -6.55% และในยามวิกฤตอาจลงได้ลึกกว่านั้น
- กองทุนลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนไม่เต็มจำนวน ดังนั้น กองทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Exchange Rate Risk)
ลองพิจารณา K-CHANGE-SSF และ K-CHANGE เป็นหนึ่งในการจัดพอร์ทลงทุนระยะยาวดูนะครับ
BottomLiner
สายกองทุนไม่ควรพลาด ความรู้กองทุนแบบอัดแน่นอีกเพียบที่ Exclusive Conten