ตัวอย่างหุ้น Top Shelf จากกลุ่ม Exclusive ของ BottomLiner: ON Semiconductor
ที่เราพยายามนำเสนอมามากกว่า 3 ปีแล้ว
คือ ON Semi (Nasdaq: ON) หรือที่บางคนรู้จักกันในชื่อเก่า ON Semiconductor นั้นเอง
.
ซึ่งจากตอนที่หุ้นตกหนัก ตอนมีการปิดเมือง ต้นปี 2020
ถ้าถือจากแถว ๆ จุดต่ำสุดมาจนปัจจุบัน ก็จะได้ผลตอบแทนเกือบ ๆ 6 เด้งทีเดียว
และในขณะที่ตลาดหุ้นแดงเถือก ผลตอบแทน 1 ปีย้อนหลังของ ON ยังบวกอยู่ที่ +7.2% ถือว่าแข็งมากทีเดียว
.
ดู Performance น่าสนใจขนาดนี้ พื้นฐานแข็งแรงจริงหรือเปล่า?
แล้วทำไมถึงเป็นหุ้นที่อยู่บน Top Shelf ของเรามาอย่างยาวนาน
คิดตามได้ในโพสตืนี้เลยครับ
======
#หุ้นTopShelfคืออะไร
คือหุ้นที่BottomLinerมีความเห็นว่าน่าสนใจเป็นพิเศษเหมาะแก่การศึกษาและทำการบ้านต่อเพื่อลงทุน โดยคัดมาจากหุ้นทั้งหมดที่ติดตามร่วม 100 ตัว คัดมาแล้วว่าน่าสนใจในแต่ละอุตสาหกรรมเทค
.
สามารถกรอกฟอร์มเพื่อสมัครได้เลย ปีละ 2990 บาท (หรือประมาณ 250 บาท ต่อเดือน)
ย้ำ!!! ราคานี้ถึงสิ้นปีนี้เท่านั้น
ปีหน้า 3990 พร้อมบริการใหม่
สนใจคลิ๊กเลย –> https://forms.gle/Mosaf6jXu29cwTqw9
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่
https://www.facebook.com/bottomlinerglobal/posts/pfbid02CZqTT9QM7eCexR9YTqz2wrrKqLUhyecHrAMhonbMRditPyaVm6g7SEL88uUq25iBl
======
.
#รู้จักONแบบกระทัดรัด
ON semiconductor ได้รับแรงหนุนจากรัฐบาลสหรัฐ
แซงคิวได้ชิพก่อนใคร ลดผลเสียจากปัญหาชิพขาดแคลน
.
ON คือบริษัทผลิตชิพสัญชาติสหรัฐที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตชิพ power หรือระบบส่งกำลังไฟฟ้าในรถยนต์, เสาสัญญานโทรศัพท์, เครื่องจักรอุตสาหกรรมหนัก ช่วงหลังขยายมาทำระบบ Sensor เพื่อเกาะเทรนด์ Smart Everything โดยมีเทคโนโลยีครบหมดทั้ง ultrasonic, กล้อง, radar, LiDAR
.
การมาถึงของระบบ 5G จะทำให้ข้อมูล รับ-ส่ง ได้เสถียรและรวดเร็วกว่าเดิม จึงเป็นโอกาสทองของ ON ที่ผลิตสินค้าป้อนโรงงานเพื่อสร้าง Smart Factory หรือ เทคโนโลยีมอบแก่แบรนด์รถยนต์เพื่อทำรถยนต์ไฟฟ้าและระบบไร้คนขับ
.
จะเห็นว่ารายได้หลักมาจากฝั่ง Autonomotive หรือชิพที่ใช้ในรถยนต์อย่างเช่น ระบบเซนเซอร์ถอยจอด ซึ่งปัจจุบันพัฒนาไปไกลถึงขึ้นเป็นการช่วยขับขี่หรือ Autonomous Driving แล้ว
และอีกส่วนคือระบบขับเคลื่อน โดยถูกเร่งตัวจากเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากการพลังขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าต้องการชิพระบบส่งกำลังหรือ Power semiconductor เพิ่มขึ้นกว่ารถยนต์น้ำมันมาก (5-10 เท่า)
.
นั่นคือรายได้หลักของ Onsemi จะโตตามอุตสาหกรรมรถไฟฟ้าและรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ
.
นอกจากนี้บริษัทยังไม่พลาดตกขบวนเทคโนโลยีชิพ SiC หรือ Silicon Carbide ทำให้ประกาศเข้าซื้อบริษัทชื่อ “GT Advanced Technologies” ซึ่งเป็น supplier ทางด้าน SiC โดยเฉพาะ
.
SiC หรือ Silicon Carbide มีจุดเด่นในการส่งผ่านความร้อนได้ดีจึงเหมาะนำไปทำ EV inverter (อุปกรณ์เปลี่ยนพลังงานในแบตมาขับเคลื่อนล้อ) และรับโหลดไฟฟ้าสูงมากเหมาะนำไปทำสถานีชาร์จไวสำหรับ EV
ซึ่งการนำ SiC ไปสร้างชิพที่ใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าจะสร้างประโยชน์เกี่ยวเนื่องกันหลายอย่าง โดย EV inverter ที่สร้างจาก SiC จะเสียพลังงานน้อยกว่าการสร้างจาก Silicon ธรรมดา (เพราะส่งความร้อนได้ดีกว่า) จึงสามารถใช้แบตรถยนต์ที่เล็กลงได้ เท่ากับว่าน้ำหนักบรรทุกและราคารถก็จะลดลง
.
เป็นการมองขาดเทรนด์ EV ไว้ล่วงหน้าเลย
.
อีกอุตสาหกรรมหนึ่งที่กำลังมาแรงก็คือ Smart Factory หรือการทำให้โรงงานผลิตมีความไฮเทคมากขึ้น ซึ่งหลายบริษัทใช้โอกาสในช่วงนี้ที่หาคนมาทำงานไม่ได้ จึงเร่งลงทุนกับเทคโนโลยีการผลิต ซึ่งฝั่ง On semiconductor เป็นหนึ่งในผู้นำระบบหุ่นยนต์ และระบบส่งกำลังไฟแรงสูงในโรงงาน
.
แม้จะติดปัญหา Chip Shortage แต่ On semi ก็ได้สิทธิ์พิเศษ เพราะเป็น supplier รายใหญ่ชิพรถยนต์ของทั้ง Ford, GM และอีกหลายเจ้าที่มีโรงงานผลิตในสหรัฐ
ซึ่งโรงงานเหล่านี้ตั้งอยู่ในรัฐที่เป็น Swing State หรือรัฐที่ช่วยพลิกให้ Joe Biden ชนะเลือกตั้ง จึงได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเป็นพิเศษ ให้แซงคิวได้ชิพก่อนเพื่อนๆ เพื่อที่กำลังการผลิตรถยนต์จะไม่ลดลง ไม่งั้นจะกระทบการจ้างงาน วนกลับมาเป็นความไม่พอใจต่อฐานเสียง
.
#มุมมองระยะยาว
Onsemi ค่อนข้างมั่นใจกับอนาคต EV, Autonomous Vehicle, Smart Factory มากทีเดียว ประกาศว่ารายได้ฝั่งรถยนต์จะโตอย่างน้อยปีละ 17% และชิพในโรงงานจะโตปีละ 7% ไปอีกจนถึงปี 2025
มีการปรับเป้า Gross margin ในปี 2025 จาก 45% เป็น 48-50% ซึ่งถ้าสำเร็จจริงกำไรของ On จะเติบโตก้าวกระโดดมากในช่วง 3 ปีข้างหน้า
เป็นการปลดปล่อย Valuation หุ้นชิพกลุ่มรถยนต์ที่โดนกดไว้มานานให้วิ่งกันอย่างสนุกสนาน
.
#อัพเดตงบQ4
ไฮไลท์งบ
- รายได้รวม $2,193 mn เติบโต 26% YoY แต่ไตรมาสหน้าคาดเหลือโต 12% YoY
- รายได้ Automotive และ Industrial เติบโตกว่า 52% และ 28% YoY ตามลำดับ
- ขายธุรกิจที่มี Margin ต่ำออกไปได้มา $39 mn คาด Q4 ขายเพิ่มอีก $65-$75 mn
- Gross Margin ยังคงสูงกว่า 49% แต่ไตรมาสหน้าคาดลดลงราว 100-200 bps เพราะต้องขยายการผลิต SiC และลดการผลิตชิปส่วน B2C ลง
.
บริษัทยึดแผนเดิม มุ่งเติบโตผ่านตลาด Automotive และ Industrial
ตั้งแต่ CEO ใหม่เริ่มงานเมื่อปีก่อน รายได้ ON ที่ดู Flat กลายเป็นเร่งตัวขึ้นโตเฉลี่ย 28% นับแต่ต้นปีก่อน เพราะบริษัทถูกปรับโฉมกลยุทธ์ให้ Aggressive มากขึ้น บวกการดึงจุดแข็งเรื่องการออกแบบและผลิตชิปให้ตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้า (Solutions) ออกมาใช้กับตลาด Automotive และ Industrial โดยเฉพาะตลาดที่กำลังมีแนวโน้มเติบสูงอย่าง EV และ Energy Infrastructure เช่น Solar และ Wind
.
แต่ล่าสุดบริษัทเริ่มเห็นว่ารายได้ฝั่ง Industrial มีแนวโน้มจะชะลอตัวลงในไตรมาสหน้า เพราะส่วนที่เป็น B2C เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน กำลังจะชะลอลงจากปัจจัย Macro ที่มีแนวโน้มไม่ดีนัก หลังค่าใช้จ่ายอุปโภคบริโภคลดลงทั่วโลกจากเงินที่เฟ้อสุดๆ
.
ขณะที่ CEO ยืนยันว่าตนไม่กังวลเรื่อง Demand หรือ Pricing เลย เพราะยังเห็นแนวโน้มว่า Demand ในตลาด Clean Energy ยังไงก็สูงขึ้นไปจนถึงปีหน้า บวกกับที่บริษัทมี Backlog เพิ่มขึ้นกว่า $5.3 bn เป็น $14.1 bn ไปแล้ว ซึ่งคาดว่าเพียงพอไปอีกหลายปี เช่น ในฝั่ง Solar Inverter บริษัทได้ติดต่อเซ็นสัญญาระยะยาวกับ Top 10 ผู้เล่นในตลาดไปแล้ว 8 ราย ซึ่งกิน Market share ไปแล้วกว่า 80%
.
แต่กลับกันเรามองว่าอาจเป็นข้อเสียได้ในช่วงที่ชิปขาดแคลนแบบนี้ เพราะการเซ็นสัญญายาวๆนั้นจะล็อคราคาและปริมาณขายไว้แล้วล่วงหน้า ทำให้บริษัทอาจเสียโอกาสที่จะขึ้นราคาชิปบางส่วนได้
.
รายได้จาก Silicon Carbide (SiC) เร่งตัวขึ้นหลังบริษัทลุยลงทุนขยายการผลิตต่อเนื่อง
SiC มีบทบาทอย่างมากสำหรับชิปทันสมัยในอุตสาหกรรม EV และ Energy Infrastructure เพราะจะให้ประสิทธิภาพที่ดีกว่า Silicon ธรรมดา ทั้งเรื่องความเร็วและความทนทานต่อความร้อน โดยตั้งแต่ที่บริษัทเข้าซื้อ GTAT บริษัทต้นน้ำที่ผลิต SiC เมื่อปลายปีก่อน บริษัทยังคงเร่งขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าสิ้นปีรายได้ชิปจาก SiC จะเติบโตกว่า 3 เท่า และตั้งเป้าปีหน้าต้องมีรายได้มากกว่า $1 bn
.
นอกจากนี้ CAPEX $271 mn เพิ่มขึ้น 142% YoY ซึ่งบริษัทคาดว่าไตรมาสหน้าจะเพิ่มอีกเป็น $300-330 mn เพื่อใช้ในการขยายกำลังการผลิต SiC ให้เพิ่มขึ้นเท่าตัวในปีหน้า รวมถึงทุ่มงบในโรงงานใหม่ที่ East Fishkill เพื่อผลิต Wafer ขนาด 300 mm ซึ่งช่วยรองรับการเติบโตในระยะยาวได้ดีกว่าขนาด 200 mm ในโรงงานอื่นๆ (ยิ่งใหญ่ยิ่งผลิตชิปได้มากขึ้นในเวลาที่น้อยลง)
.
Gross Margin บริษัทอาจหดตัวต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า
แม้ Gross Margin ไตรมาสนี้จะออกมาที่ระดับ 49% เท่าเดิมอย่างที่บริษัทต้องการ แต่บริษัทคาดว่าในอนาคตมีแนวโน้มที่จะลดลงถึง 100-200 bps ใน Q4 และอาจไหลยาวไปจนเหลือ 44-46% ในปีหน้า หลักๆมาจากขยายกำลังการผลิตใน SiC และทุ่มงบในโรงงานใหม่อย่างที่กล่าวไป บวกกับที่บริษัทต้องลดการผลิตโดยรวมหรือ Utilization rate ลงเพื่อให้สอดคล้องกับรายได้ที่บริษัทคาดว่าลดลง
.
ซึ่งบริษัทได้ลด Utilization rate ในโรงงานตัวเองลงต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนที่ 77% เหลือ 75% และยังคาดว่าอาจต้องลดลงอีกในไตรมาสหน้า นอกจากนี้บริษัทได้เลื่อนการจ้างงานและการลงทุนใน Project ต่างๆออกไปในไตรมาสนี้ เลยคาดว่า Operating expense จะสูงขึ้นเป็น $305-$320 mn กดดันให้ Operating Margin ในไตรมาสหน้าลดตามไปอีก
.
ขณะที่อีกมุมหนึ่ง บริษัทได้พยายามคุม Margin ให้คงที่ผ่านการขายธุรกิจที่ไม่สำคัญที่ให้ Margin น้อย รวมถึงโรงงานเก่าๆที่ประสิทธิภาพต่ำให้ Yield น้อยๆออกไป โดยตั้งแต่ต้นปีบริษัทขายโรงงานที่ว่าทิ้งไปแล้วกว่า 4 โรงงาน ซึ่งช่วยลดต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) ลงได้ประมาณ $160 mn มากกว่าที่บริษัทคาดไว้ที่ $125-$150 mn
.
สรุป ดูรวมๆแล้วถือว่าธุรกิจหลัก Automotive, Industrial ยังโตดี แต่กำลังจะมีปัญหาในระยะสั้นจาก Demand ฝั่ง B2C ที่หดตัว (ขายชิพมือถือ คอม) อาจกระทบการเติบโตของรายได้รวมไป 2-3 ไตรมาส และการที่บริษัทไม่สามารถขึ้นราคาชิปบางส่วนได้ บวกกับการเร่งเพิ่ม Capacity และปรับปรุงโรงงานในบริษัทก็จะยิ่งกดดันให้ Margin บริษัทหดตัวอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า BottomLiner เลยมองว่า ON อาจกลับมาฟิ้นตัวอีกครั้งในครึ่งหลังของปี 2023 นอกเสียจาก ถ้า B2C ฟื้นตัวเร็วกว่าคาดเพราะเงินเฟ้อลดลง หรือจีนเปิดเมืองเร็วกว่าที่คิด ON จะยิ่งดูสดใสขึ้นมาทันที
.
BottomLiner