สรุปนักลงทุนเหนือชั้น ตอนที่2 Market Efficiency (and it Limitations)
ตลาดมีประสิทธิภาพ และมีขีดจำกัดในตัวมันเอง
.
ในช่วงปลาย 1960 มีทฤษฏีหนึ่งเกิดขึ้นมาในตลาดลงทุน นั้นคือเรื่อง Market Efficient (ตลาดมีประสิทธิภาพ)
ซึ่งเชื่อว่าตลาดการลงทุนนั้นมีผู้เล่นที่หลากหลายรวมกันอยู่ พร้อมด้วยการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่เท่ากัน ทำให้ราคาที่ซื้อ/ขายคือราคาที่สะท้อนข่าวดี/ร้าย ข้อมูลต่าง ๆ ไปเรียบร้อยแล้ว ทรัพย์สินต่าง ๆ จึงถูกซื้อขายที่ราคาที่เหมาะสม (หักลบด้วยความเสี่ยงที่ต่างกันในแต่ละทรัพย์สิน)
.
ตัวอย่างนอกหนังสือ
สมมติว่าหุ้น apple Inc เป็นหุ้นที่มีคนติดตามจำนวนมากทั้งนักวิเคราะห์ นักลงทุนมากมาย
ซึ่ง (สมมุติ) ปกติหุ้น apple มอบผลตอบแทนให้นักลงทุนปีละ 10% ของราคา ความคาดหวังของคนที่ลงทุนใน apple ก็จะอยู่ที่ 10% ของราคา (EY-Earning Yield) หรือมองเป็นหุ้นมี PE 10 เท่าไปเรื่อยๆ
หากต้องการ EY มากกว่านั้นก็จะไม่ซื้อหุ้น apple ไปซื้อหุ้นตัวอื่นที่สามารถมอบผลตอบแทนที่ต้องการได้
เมื่องบออกมาดี รายได้เพิ่มขึ้น
ราคาที่ซื้อในปัจจุบัน จะให้ผลตอบแทนมากกว่า 10% จากการรวมรายได้ที่เพิ่มขึ้นเข้ามาด้วย
ราคาหุ้นของ Apple จึงขึ้นไปเรื่อย ๆ จนอยู่ในระดับที่มอบผลตอบแทน 10% ของรายได้ หรือ PE 10 ค้างไว้ และคนจะเริ่มซื้อน้อยลงเมื่อผลตอบแทนจากราคาที่จะซื้อน้อยกว่า 10% หรือ PE สูงเกิน 10 ไปจนดูแพง นี่คือลักษณะที่ตลาดมีประสิทธิภาพ
.
คนที่เชื่อเรื่องตลาดมีประสิทธิภาพ จะเชื่อเรื่องความเราทุกคนรับผลตอบแทนเท่ากัน ตามที่ทรัพย์สินแต่ละชนิดจะมอบให้ ไม่มีใครสามารถเอาชนะตลาดได้ ความสามารถในการลงทุนนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง คนที่ชนะตลาดคือคนที่แบกรับความเสี่ยง กระจายการลงทุนในทรัพย์สินต่าง ๆ จนได้ผลตอบแทนมากกว่าการถือทรัพย์สินใด ทรัพย์สินหนึ่งเท่านั้น
.
แต่แนวคิดที่เชื่อว่าตลาดมีประสิทธิภาพนั้น มีจุดบอดด้วยเช่นกัน เพราะมันไม่สามารถตอบคำถามในตัวมันเองได้ เช่น
หากการเอาชนะตลาดได้ไม่มีอยู่จริง แล้วทำไมผู้คนถึงพยายามเสียเวลาศึกษาเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น?
ทำไมนักลงทุนชื่อดังมากมายยังทำผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาดอย่างต่อเนื่อง?
ทำไมลูกค้านักลงทุนสถาบันยังคงจ่ายเงินเพิ่มเพื่อให้มืออาชีพบริหาร หากผลตอบแทนที่เอาชนะตลาดได้ไม่มีอยู่จริง ?
.
เพราะในความเป็นจริงตลาดไม่ได้มีประสิทธิภาพตลอดเวลา เมื่อตลาดถูกขับเคลื่อนด้วยความโลภ ความกลัว และสภาพอารมณ์อื่น ๆ
.
การรับรู้ข่าวสารและข้อมูลที่เหมือนกันจึงนำไปสู่การตีความที่ต่างกัน ทำให้ราคาทรัพย์สินเกิดการตีค่าที่ผิดพลาด เกิดเป็น “มีช่วงเวลาที่ตลาดไม่มีประสิทธิภาพ”
นอกจากนี้แต่ละทรัพย์สินก็มีการรับรู้ที่ไม่เท่ากัน บางทรัพย์สินมีคนติดตามเป็นจำนวนมาก แต่บางทรัพย์สินก็ไม่ หรือทรัพย์สินที่เคยมีประสิทธิภาพในอดีต ก็ไม่จำเป็นว่าความมีประสิทธิภาพนั้นจะคงอยู่เสมอไป
.
การเข้าใจว่าตลาดที่มีประสิทธิภาพนั้นมีขอบเขตจำกัด (ไม่ใช่ทั้งหมดทุกทรัพย์สิน และทุกช่วงเวลา) เป็นคุณสมบัติที่จำเป็นของนักลงทุนที่ต้องการเอาชนะตลาด
เปรียบเทียบกับของจริง
เรามองว่าหุ้นตัวใหญ่อย่าง Apple, Microsoft, Nvidia มีความคล้ายตลาดที่มีประสิทธิภาพมากพอสมควร เพราะมีนักลงทุนมากมายจับจ้องมันอยู่ กลับกันหุ้นตัวเล็กที่คนรู้จักน้อยมักมีราคาไม่ได้ตอบสนองต่อข้อมูลนักเพราะนักลงทุนมองข้าม จึงมักมีโอกาสซ่อนอยู่
.
หากเรารู้ว่าช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่ตลาดมีประสิทธิภาพ ผู้เล่นในตลาดรับรู้ข่าวสาร และราคาทรัพย์สินได้สะท้อนปัจจัยต่าง ๆ ไปแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่เราจะต้องใช้เวลาและความพยายามกับมันมากขึ้น เพราะไม่ใช่ทุกสภาพตลาดที่เราใช้เวลาและความพยายามกับมันเพิ่ม แล้วจะได้ผลตอบแทนที่มากขึ้นตามไปด้วย
เราควรเก็บแรงเอาไว้ในช่วงที่ตลาดไม่มีประสิทธิภาพ
ซึ่งเป็นช่วงที่ การทำงานหนักและความสามารถให้ผลตอบแทนได้มากที่สุด
.
สรุปนักลงทุนเหนือชั้นบทที่2
.
BottomLiner
เข้าห้องไลน์ “ห้องข่าวสาร หุ้น กองทุนต่างประเทศ โดย BottomLiner” รับข่าวสาร พูดคุยกันกับนักลงทุนไทย ลงทุนไกลต่างแดน เติบโต มั่งคั่งไปด้วยกัน
คลิ๊กเลย >> http://bit.ly/3HJgokP