เผยความลับการลงทุนของ BottomLiner
ตอนที่2: เข้าใจโครงสร้างรายได้ของบริษัท เพื่อการวิเคราะห์ที่ถูกต้อง Case study: หุ้น e-Commerce
เผยความลับการลงทุนของ BottomLiner
ตอนที่2: เข้าใจโครงสร้างรายได้ของบริษัท เพื่อการวิเคราะห์ที่ถูกต้อง Case study: หุ้น e-Commerce
.
ในโพสต์ที่แล้วพูดถึงวิธีการที่เราใช้ศึกษา Fundamental ของหุ้นพร้อมตัวอย่างในแต่ละหัวข้อ
.
ซึ่งในตอนนี้เราจะลงรายละเอียดโครงสร้างรายได้ของแต่ละบริษัท โดยยกตัวอย่างธุรกิจ e-Commerce เกี่ยวกับวิธีบันทึกรายได้แบบต่างๆ และทำไมไม่ควรเอา P/S มาเทียบกันระหว่างบริษัทตรงๆ
.
โดยทั่วไปแล้วธุรกิจ e-Commerce มีวิธีบันทึกรายได้ 2 แบบคือ
.
1st Party คือ รายได้จากการที่บริษัทขายสินค้าเอง วิธีนี้จะบันทึกจากราคาสินค้าที่ขายจริง ทำให้ตัวเลขรายได้จะสูงแต่ จำเป็นต้องหักต้นทุนสินค้าทำให้รายได้ส่วนนี้ Margin ไม่สูง ตัวอย่างเช่น Amazon ในส่วนของ Online stores
สมมติ iPhone ขาย 100 บาท บันทึกเป็นรายได้ Amazon
มีต้นทุนค่าเครื่องที่ Amazon ต้องซื้อมา 90 บาท หักค่าใช้จ่ายอื่นอีก 5 บาท จะเหลือกำไรแค่ 5 บาท เท่ากับ margin 5%
.
3rd Party คือ รายได้ค่าค่าบริการจากการที่ให้พ่อค้าแม่ค้ามาขายใน Platform โดยจะบันทึกเป็นค่า Commission และค่าโฆษณา ที่บริษัทเก็บได้ โดยรายได้ในส่วนนี้ Margin จะสูงมากเพราะไม่ต้องหักต้นทุนของสินค้า ตัวอย่างเช่น รายได้จาก Shopee ของ Sea หรือ Amazon ในส่วนของ Third party sellers และ Advertising services
แบบนี้ Amazon จะบันทึกแค่ค่าบริการ สมมติแม่ค้าวางขาย iPhone 100 บาท และ Amazon คิดค่าคอม 5% ถ้าขายได้คือคิด 5 บาท จะบันทึกตรงนี้เป็นรายได้ หักค่าใช้จ่ายไปนิดหน่อย margin จึงสูงมาก
.
โดยส่วนมากบริษัทมักจะมีรายได้ทั้ง 2 แบบผสมกันซึ่งต้องแยกดูเป็นส่วนๆ เพื่อดูว่ารายได้ที่กำลังโตนั้นจะช่วยให้บริษัทกำไรดีขึ้นมากน้อยแค่ไหน โดยทางเรามี 2 ตัวอย่าง
.
ตัวอย่างแรก Amazon ใน 1Q23 ที่ผ่านมารายได้ฝั่ง 1st Party ไม่โตเลยแต่ 3rd Party และ Ads ยังโตอยู่ระดับ 20% ส่งผลให้บริษัทกำไรโตได้ดีมากเพราะส่วนที่โตคือส่วนที่กำไรดีเพราะไม่มีต้นทุนสินค้า คิดเหมือน 3rd party
.
ตัวอย่างที่สอง Alibaba ที่ตอนแรกรายได้หลักจาก e-Commerce เป็น Platform 3rd party พอปี 2018 Alibabaเริ่มทำ1st party ทำให้รายได้รวมของ China commerce โตขึ้นมากเพราะส่วน 1st party บันทึกรายได้ทั้งก้อน แต่ Margin กลับลดลงเรื่อยๆเพราะรายได้ฝั่ง 1st party แทบไม่มีกำไรหากเทียบกับตัว 3rd party
.
เพราะฉะนั้นการดูบริษัท Ecommerce โดยเอารายได้มาวัดกันถือเป็นวิธีที่ผิดมากโดยเฉพาะการใช้ P/S มาเทียบระหว่างบริษัท เพราะลักษณะการบันทึกรายได้ต่างกันตามที่เล่าไป เช่น JD P/S 0.4 ไม่ได้ดูราคาถูกเมื่อเทียบกับ BABA P/S 1.7 หรือการนำไปเทียบหุ้นอเมริกาก็ยิ่งผิดเพราะ risk premium ของประเทศต่างกัน
.
รู้จักกับ GMV
.
GMV(Gross merchandise value) คือยอดขายสินค้ารวมใน Platform เป็น โดย GMV ตัวเลขอีกตัวที่ควรใช้ดูควบคู่กับรายได้ ซึ่งหากเป็น
1st Party รายได้ที่บันทึกจะเท่ากับ GMV
.
แต่หากเป็น 3rd Party รายได้จะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของ GMV โดยเรียกว่า Take rate หลักการคล้ายเรื่องบันทึกรายได้ iPhone ที่เล่าไปด้านบน ซึ่งแต่ละบริษัทจะมี Take rate ที่ต่างกันไปขึ้นกับหลายปัจจัยเช่น
.
ระดับของบริการ เช่น Amazon มีบริการ FBA (Fulfillment by Amazon) ที่ให้คนขายนำสินค้าไปฝากไว้ที่คลัง Amazon และหากมีการสั่งสินค้าทาง Amazon จะตัด Order และแพคสินค้าส่งให้เลย แถมตัว Amazon ยังเป็นหน้าร้านมี Traffic ให้พ่อค้า ขณะที่ Shopify เพียงแค่ช่วยทำwebsiteให้พ่อค้า ส่งผลให้ Take rate 3rd party ของ Amazon สูงกว่า Shopify เกือบ 10 เท่า
.
สภาพการแข่งขัน Ecommerceในจีนมี Take rate ที่ต่ำกว่าที่อื่นเพราะมีหลายเจ้าแข่งกัน และพ่อค้าแม่ค้าจีนยังขายของ Margin ต่ำทำให้บริษัทมี Take rate ที่สูงมากไม่ได้
.
ข้อควรระวังเกี่ยวกับการดูตัวเลข GMV บางบริษัทมีนิยาม GMV ที่อาจจะไม่เหมือนบริษัทอื่นเช่น Alibaba บอกว่านิยาม GMV ของบริษัทคือนับจาก Orders รวมทุกอย่างแม้การจ่ายเงินจะไม่เกิดขึ้นหรือ Order นั้นจะส่งไม่ถึงหรือถูกยกเลิกไปแล้ว ทำให้ตัวเลข GMV อาจจะเฟ้อกว่าความเป็นจริงและส่งผลให้ Take rate นั้นสูงกว่าความเป็นจริงได้
.
BottomLiner