มนต์ขลัง FANGMAN หมดแล้วจริงหรือ? EP 5 : Amazon ผู้นำธุรกิจ Cloud, E-Commerce, Streaming 3 ธุรกิจยักษ์เปลี่ยนโลก
หลายคนรู้จัก Amazon ในฐานะ E-Commerce อันดับ 1 ของ US แต่รู้ไหม ตำนานหุ้น Amazon สตอรี่หลักของการเติบโตมากลับเป็นธุรกิจ Cloud ไม่ใช่ E-Commerce แต่อย่างใด
จนกระทั่ง เมื่อการระบาดของโควิดเกิดขึ้น ส่งผลดีให้กับธุรกิจฝั่ง E-Commerce เติบโตอย่างก้าวกระโดดอีกครั้ง ณ เวลานี้คงไม่ต้องอธิบายกันแล้วว่า E-Commerce และการ shopping online คืออะไร
Amazon เริ่มต้นธุรกิจจากการขายหนังสือ Online จนปัจจุบันเป็นผู้ค้าปลีกที่ให้ขายทั้งสินค้าของตัวเอง (อารมณ์เหมือนซื้อตุนแล้วค่อยขาย แต่จริงๆระบบซับซ้อนกว่านั้น)และมีให้ Third Party หรือให้คนอื่นมาขายด้วย โดยมีการจัดการ Inventory, Warehouse, Distribution center และระบบ Logistic เป็นของตัวเอง ทำให้ปัจจุบันสามารถจัดการ 1 Day Shipping ได้อย่างง่ายดาย
ตัวอย่างสินค้าที่โด่งดังจากแบรนด์ Amazon เองเช่น Amazon Alexa และ Kindle E-book
และยังมีระบบสมาชิก ปัจจุบันมี user กว่า 200 ล้านคน ส่งผลให้ในแต่ละเดือนมีคนเข้าเว็บ Amazon มากกว่า 5,000 ล้านครั้ง
อย่างที่เล่าไป กำไรหลักอยู่ที่ Cloud (หรือที่รู้จักกันว่า Amazon Web Service AWS) ผู้ให้บริการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลสำหรับบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับโลกออนไลน์ ตัวอย่างลูกค้าที่ใช้บริการของ AWS คือ Zoom และ Netflix
เมื่อเกิดการระบาดของโควิด พฤติกรรมของคนก็เปลี่ยนมาใช้รูปแบบบริการทางออนไลน์มาขึ้นประชุมก็ไม่จำเป็นต้องเข้าบริษัทใช้ Zoom หรือการดูหนังก็กลับบ้านเปิด Netflix ไม่ต้องไปโรงหนังให้เสี่ยงและนั้นหมายความว่าธุรกิจ Cloud ของ Amazon ก็เติบโตขึ้นด้วย โดยในปัจจุบันธุรกิจ Cloud ของ Amazon มีกำไรที่สูงมากคิดเป็น 52% และเป็นกำไรมากสุดของบริษัท และในปัจุบันยังครอง Market Share เป็นเบอร์ 1 อีกด้วย (รองลงมาคือ Azure และ GCP)
แต่หากใครจำได้ สักสามปีก่อน กำไรจาก Cloud คิดเป็นสัก 80% กันเลยนะ ….
ดังนั้นเราเริ่มเห็นแล้วว่า บทพระเอกจะเปลี่ยนไป เพราะ รายได้หลัก จริงๆแล้วอยู่ที่E-Commerce มาโดยตลอด (แม้จะลวงตาหน่อยๆ เพราะเค้าเป็น retailer บันทึกรายได้สินค้าทั้งหมด ส่วน margin มันบางอยู่แล้ว) และในวันนี้เริ่มผลิดอกออกผล เบ่งบานสู่กำไร economy of scale ใหญ่มากพอ margin ดีขึ้นแค่นิดหน่อยก็กำไรเพิ่มมหาศาล โดย amazon หมกมุ่กนับการพัฒนา vendor central system มาได้สองปีกว่าแล้ว เพื่อเพิ่ม margin .
เมื่อการดูหนังที่บ้านเริ่มบูมขึ้นมา Amazon ก็ไม่รอช้ามีธุรกิจแพลตฟอร์ม Video On-Demand นั่นคือ Amazon Prime โดยให้บริการรูปแบบ Subscription โดยในปัจจุบันมีผู้ใช้งานมากกว่า 150 ล้านคนทั่วโลก
แหล่งรายได้ของ Amazon
Online Store : Amazon.com เว็บไซต์สำหรับชอปปิ้งออนไลน์
Physical Store : ร้านค้าปลีกที่ใช้สำหรับขายสินค้าหน้าร้าน
3rd Party Seller : บริการคลังสินค้า และ logistic
Subscription Services : เว็บไซต์สำหรับความบันเทิงอย่าง Amazon Prime
AWS : ธุรกิจ Cloud
ธุรกิจอื่นๆ : เว็บรีวิวและจัดอันดับหนังอย่าง IMDB และ Twitch เว็บไซต์แคสเกมออนไลน์
รายได้รวมของ Amazon
2018 : 232,887 ล้านดอลลาร์
2019 : 280,522 ล้านดอลลาร์
2020 : 386,064 ล้านดอลลาร์
ปัจจุบันMarket Cap อยู่ที่ 1.68 ล้านล้านดอลลาร์ และข่าวดีล่าสุดเห็นจะเป็นเตรียม split
Next S Curve ของ Amazon ที่น่าจับตา?
Amazon Web Services – หากจะต่อ S-Curve ไปได้ คงจะเป็น Data Analytic
AWS เป็นเจ้าตลาด cloud เนื่องจากมีความเป็น Infrastructure as a service (Iaas) สูงกว่าคู่แข่งอื่นๆ จึงกวาดรายใหญ่ไว้ และมีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่าใคร เสียดายว่าคงอยู่ปลาย S Curve แล้วละ เพราะ contribute growth ได้น้อยลง ยังหาอะไรมาเร่งตัวตรงนี้ขึ้นไม่ได้ แม้จะผลักดันเรื่องระบบ AI Amazon Sagemaker อะไรพวกนี้ แต่ไม่ตอบโจทย์ธุรกิจนัก
Amazon Global Selling – มีลุ้น ขยายไปทั่วโลก
ปัญหาของ Amazon คือการตีตลาดในต่างประเทศ ในไตรมาสล่าสุดรายได้ในสหรัฐประมาณ 75,000 ล้านดอลลาร์ และนอกสหรัฐอยู่ที่ประมาณ 37,000 ล้านดอลลาร์ ถ้าหากนับในสหรัฐคืออันดับหนึ่งแต่เมื่อออกมาต่างประเทศแล้วกลับไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คิด จนล่าสุดได้มีการจัดตั้ง Amazon Global Selling เพื่อขยายฐานการค้าออกไปทั่วโลก โดยมีการประกาศตั้งทีมในประเทศไทยด้วย
Amazon Prime Video
บริการ Video Streaming ทั้งหนังทั่วไปและหนังที่มาจาก Amazon Studio เป็น Original Content ที่มีเฉพาะ Prime Video เท่านั้น โดยมี Series ชื่อดังอย่าง The Boys ที่ได้รับความนิยม Amazon Prime สามารถสร้าง Profile 1 บัญชีได้ถึง 6 คน และดูพร้อมกันสูงสุดได้ถึง 3 อุปกรณ์แต่เหมือน Amazon Prime จะยังมีหนังให้ชมค่อนข้างน้อย(หากเทียบกับ Netflix) และความละเอียดสูงสุดจะยังอยู่ที่ Full HD ยังไม่เป็น 4K ในปัจจุบัน Amazon Prime Video เปิดให้ใช้ในไทยแล้วด้วยราคาเดือนละ 199 บาทซึ่งถ้าหารออกมาแล้วก็ตกคนละไม่กี่บาท
ปัญหาที่ Amazon กำลังเจอ
ด้วยการที่เป็นบริษัทใหญ่จึงทำให้ถูกจับจ้องเป็นอย่างมาก โดยในปี 2019 Amazon ถูกกล่าวหาว่ามีการทำผิดกฎหมายการค้าของ EU ในเรื่องการใช้ข้อมูลทางการค้าของคู่แข่งเพื่อเป็นข้อได้เปรียบของตัวเองในการทำการค้า
และในปี 2020 พนักงาน Amazon ยอมรับว่ามีการนำข้อมูลของผู้ค้าใน Amazon มาใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อนำไปแข่งขันในตลาด เราจะเห็นว่า Amazon ก็ดูพยายามจะทำทุกอย่างในแบรนด์ตัวเอง
BottomLiner
ถ้าชอบบทความนี้อย่าลืมแชร์ให้เพื่อนอ่านด้วยนะ