Qorvo ถือเป็นผู้นำธุรกิจผลิตชิป Radio Frequency (RF) ซึ่งเราใช้มันทุกวันและอยู่ใกล้ตัวมาก ตัวอย่างเช่น การเชื่อมต่อ WiFi, Bluetooth หรือสัญญาน Internet ที่ใช้ในมือถือ ทั้งหมดล้วนมีชิป RF อยู่เบื้องหลัง ถ้าให้พูดง่ายๆ ก็คือการเชื่อมต่อแบบไร้สายทั้งหมดต้องใช้ชิป RF เป็นหลัก
Qorvo มีรายได้ 70% มาจากการขายชิปที่ใช้ในอุปกรณ์ Electronic พื้นฐานรอบตัวเรา เช่น มือถือ, โน้ตบุ้ค และเครื่องใช้ไฟฟ้ากลุ่ม IoTs ที่ต้องการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น
ขณะที่รายได้อีก 30% มาจากลูกค้าด้านการทหาร และกลุ่มผู้ติดตั้งเสาสัญญานที่กำลังจะเติบโตเร็วมากในปีหน้าจากการเร่งขยาย 5G ทั่วโลก
ถ้าคุณกำลังอ่านโพสต์นี้จากมือถือ มีโอกาสสูงที่ในเครื่องจะมีชิปของ Qorvo อยู่ด้วย ซึ่งลูกค้ากลุ่มมือถือทั้งของ Apple, Samsung และแบรนด์จีนทั้งหมดเป็นลูกค้าของ Qorvo และเป็นกลุ่มที่จะโตเร็วมากในช่วง 3 ปีต่อจากนี้ เนื่องจากมือถือทุกเครื่องที่จะรองรับ 5G ได้ต้องติดตั้งชิป RF รุ่นใหม่ และจากการคำนวณของเราพบว่ามันจะแพงกว่าชิป RF ใน 4G ถึง 30% แสดงให้เห็นว่าขอเพียงแค่มือถือรุ่นใหม่รองรับระบบ 5G ได้ก็จะสร้างรายได้ให้ Qorvo อีกเยอะ
โดยถ้าไปดูนโยบายประเทศใหญ่เราจะเห็นว่าระบบ 5G กำลังจะถูกเร่งติดตั้งเร็วๆ นี้ เนื่องจากทั้งสหรัฐ, จีน, สหภาพยุโรป, ญี่ปุ่น เตรียมอนุมัติงบประมาณมหาศาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยส่วนหนึ่งจะถูกนำมาสร้างเสาสัญญาน 5G เพื่อนำไปต่อยอดการพัฒนาเทคโนโลยีในอนาคตอย่างรถยนต์ไร้คนขับ, Smart Factory, AR, VR ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ทุกประเทศต้องเร่งติดตั้งถ้าไม่อยากถูกทิ้งไว้ข้างหลัง (ไทยก็เริ่มประมูลคลื่นกันแล้วนะ)
Qorvo มีคู่แข่งโดยตรงอีก 2 เจ้าคือ Qualcomm (NASDAQ: QCOM) และ Skyworks Solutions (NASDAQ: SWKS) โดยทั้งหมดกำลังได้ประโยชน์จากเทรนด์ 5G ส่งผลให้หุ้นขึ้นมายกแผง
ย้ำอีกทีว่า “การใช้งาน 5G เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นแน่นอน” ข้อมูลจากรูปก็คาดการณ์ว่าระบบ 5G ในสหรัฐจะขยายตัวอย่างรวดเร็วในปีนี้หลังจากช้ามากว่ากำหนดเดิม 2 ปีแล้ว ซึ่งมือถือจะเป็นอุปกรณ์ที่ได้ใช้แรกๆ (ตัวอย่างง่ายสุดคือเราจะมี Data รายเดือนเพิ่มขึ้นอีกเยอะ) ถัดมาก็จะเริ่มนำ 5G ไปใช้ในเทคโนโลยีที่ซับซ้อนขึ้น เช่น การขนส่งสินค้าด้วย Drone หรือ รถยนต์ไร้คนขับ ซึ่งต้องการการรับส่งข้อมูลที่แม่นยำมาก ยิ่งเป็นผลดีต่อชิป RF เช่นกัน
แอดมินแนท
BottomLiner