กราฟแห่งความจริงของการลงทุน
คนเรานั้นลืมง่าย เมื่อหุ้นใดถูกลากขึ้นไปสูงๆสัก 1000% พอย่อลงมา 30% ก็มักจะคิดว่ามันลงเยอะแล้
.
ผมพยายามหา template การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น และนี่คือส่วนหนึ่งจากที่สังเกตได้มาหลาย cycle ย่อยแล้ว กับอีก 1 cycle ใหญ่ รวมถึงศึกษาอดีตย้อนหลังไป ค้นพบว่าจะสมัยที่เรียกว่าหุ้นได้ south sea bubble ดูจะเหมาะเป็นจุดเริ่มต้น จนถึงปัจจุบันมันก็เดิมๆ คือ มันเป็นผลพวงของ พฤติกรรมมนุษย์ และวัฏจักรเศรษฐกิจ
.
หากเราศึกษาในอดีตและพฤติกรรมมนุษย์ เราจะพอสรุปได้ว่า หุ้นหลายตัววิ่งขึ้นมาเยอะๆแบบ งงๆ และเด้งไปเด้งมา 6 เดือน ถึง 1 ปี ก่อนขึ้นต่อถ้าหุ้นนั้นดี หรือก่อนปิดฉากไปกับตลาดขาลง…
.
มนุษย์นั้น ขี้ลืม โลภ และการลงทุนหุ้นเป็นเรื่องของการค้นพบ และเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
.
มนุษย์อย่างเราๆ เริ่มต้นลงทุนใหม่ๆ ก็ค่อยๆ รู้จัก สิ่งใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ มีแต่เรื่องว้าวๆ นั่นก็ดี นี่ก็ได้ ตัวนั้น 20% แล้ว ตัวนี้ 30% ดูน่าสนใจไปหมด เริ่มมีคำว่า “ช้า” เกิดขึ้นในหัว คำว่า “ง่าย” “เราทำได้” ผุดขึ้น อ้าวแล้วตำราที่เราอ่านๆกันมา? ทิ้งเลยดีไหม และแน่นอนว่า เริ่มไปบอก คนอื่นๆ เชียร์คนอื่นๆ ให้เข้าสู่วัฏจักร (บ้างก็เชียร์ให้คนมารับไม้ต่อ หุ้นจะได้ขึ้นไวๆ)
.
ลงไปได้สักพัก กำไรเละเทะ … แต่แล้วฝันร้ายก็มักจะเกิดขึ้น
.
เพราะมือใหม่ต่อหุ้นตัวใหม่ๆนั้น มักเข้าสู่ตลาดหลัง
- เห็นคนได้กำไรเยอะ
- หุ้นฟื้นตัวมาได้สักระยะจากวิกฤต ทุกอย่างดูดี ไม่น่ากังวลอีกต่อไป ก็พึ่งกลับมาซื้อหุ้น หรือมือใหม่พึ่งเปิดบัญชีเสร็จ พึ่งเริ่มเล่นหุ้นกัน ก็จะซื้อหุ้นดังๆก่อน
.
โดยเฉพาะพวกหุ้นเทคโนโลยี เหล่า EV AI เปลี่ยนโลก Adtech ล้ำสมัย e-commerce กว้างไกล ทั่วโลกใช้ big data
.
พวกนี้ยิ่งดูน่าตื่นเต้น น่าสนใจ เป็นอะไรใหม่ๆ ดึงดูดหน้าใหม่ๆให้ค้นพบ และที่สำคัญผมได้โอกาสเรียนรู้จาก VI หลายๆท่าน ผมสรุปสั้นๆให้ว่า “ของที่มันดูประเมินค่าได้ยาก ราคายิ่งไปได้ไกล” และผมก็มาสรุปต่อจากประสบการณ์ที่แม้ไม่ยาวเท่าผู้สูงวัยแต่ก็เข้มข้นใช้ได้ และทำการบ้านย้อนอดีตไปเยอะๆ
.
ว่ารูปแบบการดำเนินนโยบายทางการเงิน และการคลัง ก็มีผลต่อระดับ valuation ถึงขั้นเปลี่ยน multiples, WACC จากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่เอาจริงๆ ตลาดไม่ได้คิดลึกซึ้่งขนาดนั้นหรอก มันก็ไหลไปมา เป็น event base + พีค ทางจิตใจ (ไว้สำเร็จวิชา จะมาแชร์อีกที กลัวผิดพาดอยหมด)
แต่ก็พอจะสรุปได้ว่า easing valuation ยังไงก็บวม ส่วน tightening นั้นแล้วแต่ บ้างบวม บ้างหด แตกต่างกันไปแต่ละครั้ง
.
Disruption, Depp Learning, Blockchain buzzword เหล่านี้ + easing cycle ช่วยดันหุ้นให้ราคาขึ้นสูง เมื่อหุ้นเริ่มดังขึ้น หรือที่หลายๆคนชอบเรียกว่าช่วง public money เม็ดเงินหลั่งไหลเข้า บางตัวรายได้โต กำไรโตจริงก็ดีไป บางตัวไม่มีอะไรเลย นอกจากความคาดหวัง
.
ยิ่งช่วง new paradigm คนเปลี่ยนความคิดว่ามันดี คนบอกไม่ซื้อ หันมาซื้อ ช่วงนี้่หุ้นมักไม่ไปไหน ลงมีแรงซื้อ ทำให้คนเห็นราคานี้จนคุ้นตา พอลง 30% ก็กลายเป็นเยอะแล้ว
.
จุดจบมักไม่สวยนัก คุณลองคิดดูนะว่ามีแต่ข่าวดี คนแห่ซื้อ ทำไมมันไม่ขึ้น? เพราะมีคนขายน่ะสิ และมองอีกมุมหนึ่ง ทุกคนก็มีของกันหมดแล้ว ขึ้นรถไฟฟ้า เดินริมถนน กินข้าว มักได้ยินคนคุยหุ้นตัวนั้น
.
เม็ดเงินจากมือใหม่ หรือคนที่ไม่รู้จักหุ้นตัวนั้น บ้างยังไม่รู้เลยบริษัททำอะไร มีรายได้จากอะไร ก็มาซื้อหุ้นกันแล้ว เหล่านี้หรือจะสู้เม็ดเงินคนกำไร 1000% รอขายไม่ได้หรอกครับ รวมถึงขา short ที่รออยู่ แต้มต่อเค้าเยอะ เครื่องมือเค้ามี
.
แล้วจบไม่สวย ขนาดไหน? อยู่ที่พื้นฐาน ก็ต้องไปดู valuation ขาลง ว่าแถวไหนดี และเดี๋ยวก็มี event ให้หยุด panic กันเอง บ้างก็กลับไปที่เดิม บ้างก็ -50% -70% เรื่องธรรมดาน่ะ
.
แต่ถ้าของดี ยังไงก็มีวันฟื้นคืนจากหลุมได้ และตอนนี้ก็เป็นโอกาสของหุ้นบางตัว
.
.
ปลาใหญ่กินปลาเล็กเป็นทอดๆ และพวกเราคือเหยื่ออันโอชะ ของรายใหญ่ที่คุมเกมส์อยู่
เราต้องเอาตัวรอดกันเอง
.
หากใครอ่านแล้วท้อกับตลาดทุน ให้นึกถึงป้าแอน และภารโรง ที่ซื้อหุ้นดีๆ ที่มองเห็นรอบตัวไปเรื่อยๆ เวลาจะช่วยได้เอง หาหุ้นดีๆ หรือหุ้นธรรมดาในราคาวิเศษ ให้เจอ แต่ถ้าใครหวังรวยเร็ว โพสนี้ไม่ใช่คำตอบ
.
เขียนไว้เตือนตัวเองให้ระวัง
.
BottomLiner
#หุ้นต่างประเทศ #ลงทุนต่างประเทศ #สอนลงทุนหุ้นต่างประเทศ #หุ้นเทคโนโลยี #หุ้น #ลงทุน #กองทุน
เข้าห้องไลน์ “ห้องข่าวสาร หุ้น กองทุนต่างประเทศ โดย BottomLiner” รับข่าวสาร พูดคุยกันกับนักลงทุนไทย ลงทุนไกลต่างแดน เติบโต มั่งคั่งไปด้วยกัน
คลิ๊กเลย >> http://bit.ly/3HJgokP