ตัวอย่างการใช้ Option เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ดีขึ้น
เป้าหมายในการลงทุนนั้น คนส่วนมากขอแค่ปีละ 5-10% ไปเรื่อยๆ เน้นไม่ขาดทุนก็พอแล้ว แต่กลับทำได้ยาก ส่วนใหญ่จะรู้สึกว่ายิ่งเงินใหญ่ ยิ่งยากเข้าทุกที
แต่ในความจริงไม่เป็นเช่นนั้นครับ
บทความนี้ผมจะพูดว่า เงินน้อยน่ะยาก เงินเยอะ เป็นเรื่องง่าย
สามารถใช้กลยุทธ์นี้ได้ ตั้งแต่พอร์ต 1 ล้านจนประมาณ 10,000 ล้าน
.
ถ้าหวังผลตอบแทนระดับ 5 -10% คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าก็จัดพอร์ตแบบความเสี่ยงต่ำก็เพียงพอ
แต่จากประสบการณ์ของผม ซึ่งทำ Asset allocation จากสายอาชีพมาตั้งแต่วันแรก
พอทำงานไปเรื่อย ๆ สิ่งที่ผมได้ประสบมาสอนผมว่า Asset Allocation แบบ Low Risk โดยนำเงินส่วนใหญ่ ไปลงใน bond นั้น ไม่ได้ Low Risk จริงๆ และเหตุการณ์นี้ก็เกิดชัดในปี 2013 2015 2019 และมารุนแรงที่สุดในปี 2022 ที่ bond ขาดทุนย่อยยับ
หรืออย่างเคสใกล้ตัวหุ้นกู้ Stark หรือบริษัทที่มั่นคงอย่าง หุ้นกู้การบินไทยก็เสียหายมาก
แสดงว่าพอร์ตเสี่ยงต่ำ-ปานกลาง กลับผลตอบแทนย่ำแย่ ไม่ต่างกับเสี่ยงสูง
.
.
เป็นเวลาเกือบ 15 ปี ที่ผมลงทุนในต่างประเทศ จน 5 ปีหลังมานี้ได้คิดค้น framework การลงทุนที่เหมาะสม คนไทยทำได้จริง โดยอาศัยประสบการณ์ในการทำงานทั้งจากการที่เคยเป็นนักวิเคราะห์ดูแลนักลงทุน UHNW / ผู้จัดการกองทุน / ทำ Roboadvisor และสำคัญที่สุดคือประสบการณ์เม่าอิสระ ที่ไม่มีข้อผูกมัด สนเพียงว่า ทำอย่างไรให้ไม่เจ๊ง และมีกำไรไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะผ่านกี่วิกฤต และยังนอนหลับได้อย่างสบายใจ
.
โดยไม่ได้แคร์กับการ outperform benchmark เน้นว่า สุดท้ายคือกำไร แล้วจะทำอย่างไรดี?
.
พอร์ตทั่วไปแบบ high risk high return บอกทำได้ ปีละ 10% แต่ drawdown กดไป -50% -70% แบบที่นักลงทุนหลายท่านพึ่งประสบ
.
แต่ผมจะขอยกตัวอย่างที่แตกต่างจาก กลยุทธ์ OMTE (Optimal Megatrend Tech Enhanced) ที่เคยเล่าไป
โดยมันคือกลยุทธ์ OMT ซึ่งเป็นกลยุทธ์ถือหุ้นล้วนแล้วเพิ่ม (E) เข้ามา จากการนำ Option เข้ามาช่วย Enhanced พอร์ตหุ้น โดย BottomLiner นำมาใช้ 3 แบบหลัก ๆ
.
Enhance ที่ 1 เกิดจากการทำ Option Income Strategy เช่น short put, cover call เสริมสร้าง yield หรือผลตอบแทนให้กับพอร์ตในจังหวะที่เหมาะสม
.
Enhance ที่ 2 เกิดจากการ hedge ป้องกันความเสี่ยงขาลง เมื่อเห็นสมควร โดยไม่ต้องซื้อๆขายๆหุ้น ทำให้มีต้นทุนที่ต่ำ และได้เปรียบทางจิตวิทยาลงทุน
.
Enhance ที่ 3 เกิดจากการเก็งงบหรือ Event Play โดยตั้งแต่ปลายปี 2020 ที่เราเริ่มมีการเก็งงบจริงจัง ด้วย option จากสถิติสองปี เฉลี่ยได้เกินไตรมาสละ 20% ซึ่งผมว่ามันก็ไม่ขี้เหร่ พอแล้วสำหรับความเสี่ยงกินได้นอนหลับ เพราะเราเข้าเป็นสิบตัวต่อไตรมาส ไม่ได้ลงไม้ใหญ่ๆ หนักๆ ให้เครียด
.
สำหรับมือใหม่ ข้อ 3 นี้แนะนำว่าอย่าหาทำ เจ๊งไม่รู้เรื่อง มือเก๋าแล้ว แนะนำให้ลองครับ
.
หากลองทำแล้วได้กำไร 5% – 10% ก็ค่อยแบ่งเงินส่วนหนึ่งไปลงครับ
เช่นกลยุทธ์ OMTE ผม แบ่ง 20% มาจาก 100% มาคอยเก็งงบ กับ hedge + income strategy เพื่อสร้างผลตอบแทนเพิ่มให้ได้ ปีละ 10-20% แล้วก็ไปเอาจากการถือยาวหุ้นอีก 10-15%
(เพราะถือหุ้นเหลือแค่ 70% สมมติหวังผลตอบแทน 20% ก็เอา 70% x 20% เหลือ 14% ต่อปี
ส่วนเงินที่เหลือ 20% ไว้วน option, cash 10% เสมอไว้รอจังหวะเด็ดๆ แต่ก็จะแลกกันครับ ถ้า option ล้วนเลยคุณอาจจะได้ปีละ 80% (แบบไม่ทบต้น) ถ้านอนหลับ ก็เอาเลยครับ)
.
และจะมี Enhance ที่ 4 ในอนาคต คือการลงทุนในกอง quant absolute return และ private equity เพิ่มเติม ในอนาคต สำหรับกลยุทธ์นี้ แต่มันนอกประเด็น option เอาไว้ได้โอกาสจะเล่าให้ฟัง
.
ทั้งหมดนี้ทำเพื่อให้เรามั่นใจได้ว่าทุกปี จะได้กำไรครับ ไม่ได้ต้องกำไรหวือหวา ขอกำไรต่อเนื่องก็พอ หรือพลาดหนักๆ ก็อาจจะขาดทุนนิดหน่อยครับ ยังไงลงทุนระยะยาว เราเปิดช่องให้ขาดทุนได้สัก 10% ผมว่าไม่เสียหาย
.
ตามที่ปู่บัฟเฟตต์กล่าวครับ อย่าขาดทุน ดีที่สุด เพราะแค่ไม่ขาดทุน กำไรต่อเนื่อง ผลตอบแทนทบต้นก็จะทำงาน ทำให้พอร์ตของเราโตได้ดี ไม่แพ้พอร์ตที่กำไรสูงเสี่ยงสูงแล้วครับ
.
BottomLiner