ปรับพอร์ตรับโอกาสลงทุนจากปัญหาในอิสราเอล
ไตรมาส 3 ที่ผ่านมานี้ผลตอบแทนอาจไม่ได้สดใสเหมือนที่คิดไว้ เนื่องจากปัญหามากมายเริ่มกลับมารุมเร้า เช่น ความกังวลด้านอัตราดอกเบี้ย, Bond Yield, ราคาน้ำมัน เป็นต้น แล้วอย่างนี้มุมมองลงทุนควรจะเป็นยังไงดี?
.
ตั้งแต่ที่ราคาน้ำมันเริ่มเด้งกลับมา โดย 3 เดือนที่ผ่านมาบวกไปแล้วกว่า +13% เป็นผลกระทบของรัสเซียและซาอุลดกำลังการผลิตลงพร้อมกับการท่องเที่ยวจีนฟื้นตัวหลังจากเปิดเมือง ทำให้ Supply ลดลง แต่ Demand เพิ่มขึ้น
รวมถึงล่าสุดที่มีเหตุการณ์เริ่มต้นสงครามระหว่างกลุ่มติดอาวุธ Hamas กับ Israel ทำให้ราคาน้ำมันเริ่มกลับมาเด้งอีกครั้ง
.
แม้เจ้าของเรื่องทั้ง Israel และ Hamas คิดเป็นสัดส่วนเล็กมากที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจ แต่ประเด็นคือ ความขัดแย้งของตัวแทนแต่ละฝ่ายมากกว่า โดยสหรัฐนั้นเข้าข้างฝ่าย Israel แต่ Iran นั้นอยู่ฝั่ง Hamas ซึ่งมีโอกาสที่ Iran จะเลือกมาตอบโต้โดยการปิดช่องแคบ Hormuz ที่เป็นจุดส่งขนส่งนำมันที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเป็นสัดส่วนกว่า 20% ที่น้ำมันถูกขนส่งผ่านช่องแคบนี้ ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นได้ (อันนี้คือเคสที่แย่ที่สุดในตอนนี้)
.
โดยก่อนหน้านี้ FED เริ่มมองว่าตัวเองสามารถทำ Soft Landing ได้และเห็นว่าตลาดแรงงานสหรัฐยังแข็งแกร่งดีอยู่ แต่หลังจากเหตุการณ์ความขัดแย่งใน Israel มีโอกาสทำให้เงินเฟ้อกลับมาได้ ซึ่งจะทำให้ FED เล็งที่จะขึ้นและค้างดอกเบี้ยต่อไปอีกได้ แม้ว่าก่อนหน้านี้กรรมการ FED หลายคนจะมองว่าไม่จำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยต่อแล้ว แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับสถาณการณ์ของสงคราม
.
แล้วยังมีเรื่องการเมืองมารุมเร้า เรื่องที่ประธานสภา McCathy ถูกโหวตออกจากตำแหน่งเนื่องจาก Republican มองว่าไปเข้าข้าง Democrats มากเกินไป ทำให้ตอนนี้รัฐบาลเสี่ยงโดน Shutdown แถมนักลงทุนมองว่าจากเหตุการณ์นี้จะทำให้ Short Term bil หรือการของบประมาณระยะ 1-2 ปีที่ถูกเสนอยื่นไปจะถูกโหวตให้ไม่ผ่าน ทำให้เป็นผลกระทบไปถึง Bond Yield ได้
.
#แต่ทุกวิกฤตก็มีโอกาสครับ (เป็นคำที่ได้ยินบ่อยๆ)
Bottomliner จึงมองว่าตอนนี้เป็นโอกาสในการลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมัน จึงเลือกปรับพอร์ตขายกองทุน REITs ออกทั้งหมด 10% และ กองทุน Semiconductor ครึ่งนึง 11% เปลี่ยนมาซื้อกองทุน KT-Energy (10%) ที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มน้ำมันในสหรัฐเป็นหลัก และถือกองทุนคล้ายเงินสดเพิ่มจาก 14% เป็น 25%