สรุปบทความ 100 ปี “สิ่งที่นักลงทุนรายย่อยควรรู้”จากเสด็จพ่อการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Benjamin Graham)
บทความ “What Every Small Investor Should Know” เขียนโดย Benjamin Graham ในปี 1923 ความยาวประมาณ 3 หน้านิดๆ เพื่อเป็นแนวทางสำคัญเกี่ยวกับการลงทุนที่นักลงทุนรายย่อยควรรู้
ซึ่งจริง ๆ ในบทความต้นทางอะ เขาจะเขียนในลักษณะ บทพูดคุยระหว่างคน 2 คน คือ George Brokaw ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน และลูกค้าของเขา Henry Byer แต่ในบทความนี้จะเป็นลักษณะสรุปมาให้เลยนะ ว่าเขาต้องการจะบอกอะไรเรา โดยแยกคำแนะนำระหว่างการลงทุนในพันธบัตร และ หุ้น
#คำแนะนำในการลงทุนในพันธบัตร
ในส่วนของการลงทุนในพันธบัตร
Graham ได้เน้นถึงความสำคัญของการวิเคราะห์ผลตอบแทนรวม (Total Return) มากกว่าการพิจารณาเฉพาะดอกเบี้ยคูปองที่ได้รับจากพันธบัตร นักลงทุนหลายคนมักจะมองว่าดอกเบี้ยคูปองเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แต่ Graham ชี้ให้เห็นว่าผลตอบแทนรวมที่นักลงทุนจะได้รับในอนาคตนั้นรวมถึงการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าหลักทรัพย์ด้วย เขายกตัวอย่างการลงทุนในพันธบัตร B&O 5% และ B&O 4.5% โดยแนะนำว่าแม้พันธบัตร B&O 4.5% จะมีดอกเบี้ยคูปองต่ำกว่า แต่การที่พันธบัตรนี้จะครบกำหนดในเวลาที่สั้นกว่าอาจทำให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนรวมที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับ B&O 5% ที่จะครบกำหนดในอีกหลายสิบปีข้างหน้า
Graham ยังได้อธิบายถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการขายพันธบัตรก่อนวันครบกำหนด ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนรายย่อยควรพิจารณาให้ดี นาย Byer แสดงความกังวลว่าเขาอาจจะต้องขายพันธบัตรก่อนครบกำหนด ซึ่งจะทำให้เขาไม่สามารถรับรู้ผลตอบแทนที่คาดหวังไว้ได้เต็มที่ Graham ชี้ให้เห็นว่าถึงแม้การขายพันธบัตรก่อนกำหนดอาจมีความเสี่ยง แต่การลงทุนในพันธบัตรที่มีอายุสั้นกว่า เช่น B&O 4.5% มีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าในกรณีที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้เขายังกล่าวถึงความแตกต่างของอัตราผลตอบแทนระหว่างพันธบัตรที่มีอายุต่างกัน โดยอธิบายว่าพันธบัตรที่มีอายุสั้นกว่ามีแนวโน้มที่จะเพิ่มมูลค่าเร็วกว่าพันธบัตรที่มีอายุนานกว่า เนื่องจากนักลงทุนมีความต้องการที่จะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะเวลาที่สั้นกว่า
#การลงทุนในหุ้น
ในส่วนของการลงทุนในหุ้น Graham ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการคาดการณ์ราคาหุ้นในอนาคต โดยเขาให้ข้อคิดว่าการคาดการณ์ว่าราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นในอนาคตนั้นเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอนและเต็มไปด้วยความเสี่ยง นักลงทุนจำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการของบริษัทที่ลงทุน สภาพเศรษฐกิจโดยรวม หรือการเปลี่ยนแปลงในกฎระเบียบภาษีที่อาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าหุ้นในอนาคต
Graham แนะนำให้นักลงทุนเลือกหุ้นที่มีแนวโน้มจะเพิ่มมูลค่าในระยะยาว
โดยเน้นที่การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท เช่น ความสามารถในการทำกำไร การจัดการหนี้สิน และศักยภาพในการเติบโต
การลงทุนในหุ้นที่มีคุณลักษณะเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว มากกว่าการถือครองพันธบัตรเพียงอย่างเดียว
Graham ยังกล่าวถึงการเก็งกำไรในหุ้น ซึ่งแม้ว่าเขาจะเน้นเรื่องการลงทุนอย่างมีเหตุผล แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าการเก็งกำไรในหุ้นที่มีโอกาสเพิ่มมูลค่าสูงอาจเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การลงทุนได้ หากนักลงทุนมีความเข้าใจในความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องและสามารถจัดการกับความเสี่ยงเหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเก็งกำไรในหุ้นสามารถเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตการลงทุนที่มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนสูงได้เช่นกัน