สรุป Live EV จะเปลี่ยนโลกหรือโลกจะเปลี่ยนเพราะ EV (สำหรับคนขี้เกียจนั่งดู)
บทความนี้เป็นสรุป Live: EV จะเปลี่ยนโลกหรือโลกจะเปลี่ยนเพราะ EV ที่ BottomLiner ได้ไปคุยที่ finnomena ในวีคก่อน
(ใครอยากดูเต็ม ๆ ตามลิ้งค์นี้ไปเลย >> https://youtu.be/k2_cYu4HRNM )
.
#EVมาแน่
แต่ไม่ได้เกิดจากการที่น้ำมันจะหมดโลก (ราคาน้ำมันขึ้นลงด้วยเรื่องผลประโยชน์มากกว่า)
ซึ่งราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน คือตัวเร่งให้คนหันมาใช้พลังงานทางเลือกมากขึ้น และ EV หรือรถยนต์ไฟฟ้าเป็นตัวเลือกแรก ๆ ในขณะนี้
.
ในอดีต EV ไม่ได้น่าสนใจเท่าปัจจุบัน แต่เพราะราคาต้นทุนในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบันนั้น
กำลังลดลงอย่างรวดเร็วจนอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันกับรถพลังงานสันดาปได้แล้ว แม้ปัจจุบันระยะทางจะวิ่งได้ไม่ไกลมาก แต่เพียงพอแล้วสำหรับการใช้งานในเมือง
ซึ่งปัจจุบัน Battery ถือเป็นต้นทุนส่วนใหญ่ของEV
รถยนต์ไฟฟ้าแบตแพง แต่มีชิ้นส่วนรถยนต์ที่ลดลงเทียบรถยนต์สันดาป เช่นส่วนเพลาขับ ทำให้สุดท้ายราคากลับมาอยู่ในระดับที่แข่งขันกันได้
.
#จีนเป็นผู้นำอุตสาหกรรมEV
แม้เวลาพูดถึง EV คนจะคิดถึง Tesla ก่อนมากกว่าก็ตาม แต่เจ้าตลาดกลับเป็นจีน
ซึ่งสิ่งที่ทำให้จีนเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้คือ lithium battery
.
แบต EV ที่นิยมใช้จะเป็นแบต lithium ทั้ง 2 สูตร แต่จะแตกต่างกันไปที่ส่วนผสมอื่น ๆ คือ
NMC (Nickel – Manganese – Cobalt)
LFP (Lithium – Iron – Phosphate)
.
โดยตัวที่วิ่งได้ไกลกว่าคือ NMC แต่แลกมาด้วยราคาที่แพงกว่ามากเช่นกัน เนื่องจาก Cobalt แพงและหายาก
ทำให้ก่อนหน้านี้ Tesla พยายามลดการใช้แบต NMC
แต่ชาติที่ทำได้จริง ๆ คือจีน ซึ่งคือแบตสูตร LFP ที่ผลิตจากบริษัท BYD และ CATL
โดยในขณะนี้ มีเพียง 2 บริษัทเท่านั้นที่ผลิตแบต LFP ได้
และบริษัทอื่น ๆ ยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 ปี
เพื่อเริ่มการผลิต mass production ได้จริง
.
ทั้งนี้การแข่งขันเรื่องแบตเตอรี่จะแข่งกันเรื่องความจุประจุไฟฟ้าและ ความเร็วในการชาร์ตเป็นหลัก
.
นอกจากนี้อุตสาหกรรมรถEVยังเป็นโอกาสของจีน เนื่องจากชิ้นส่วนต่าง ๆ นั้นไม่ได้ไฮเทคหรือถูกผูกขาดจากสหรัญมากเท่าอุปกรณ์ไฮเทคอื่น ๆ ทำให้จีนไม่ต้องพึ่งพาต่างชาติมากนัก
.
จีนมีแนวโน้มอุดหนุนรถ EV จีนมากขึ้นด้วยเพราะความเป็นชาตินิยมที่สูง
อย่างไรก็ตาม ตลาด EV ในจีนมีแนวโน้มเป็น Red Ocean มากขึ้น ทำให้ก้าวต่อไป จีนน่าจะเพิ่มการส่งออก EV ไปยุโรปมากขึ้น
เพราะเหตุการณ์สงครามระหว่างยูเครน – รัสเซียทำให้ยุโรปมีความต้องการพลังงานทางเลือกสูงมาก เพื่อลดการพึ่งพารัสเซีย
และด้วยการเมืองระหว่างประเทศมีแนวโน้มว่ายุโรปจะเข้าข้างจีนมากขึ้นเรื่อย ๆ
.
#Teslaกำลังโตช้าลง
ก่อนหน้านี้ใน early stage ของอุตสาหกรรม EV เราจะเห็น Tesla ครองตลาดชัดเจน แต่ต่อจากนี้คู่แข่งจะมากขึ้น
Tesla จะยังเติบโตได้อยู่ กลายเป็นหุ้น EV ตัวใหญ่ แต่จะมีอัตราเติบโตชะลอตัวลงเมื่อเทียบในอดีต และจะมีคู่แข่งที่ตัวเล็กกว่าเติบโตได้ดีกว่า ซึ่งเราจะเริ่มเห็นการกระจายการลงทุนในหุ้น EV กระจายตัวในผู้เล่นต่าง ๆ มากขึ้น
ในขณะที่ปัจจุบัน Demand ความต้องการ EV ยังสูงมาก และผู้เล่นหลักของอุตสาหกรรม EV ติดปัญหาที่กำลังการผลิตและแบตเตอรี่เท่านั้น
.
#การเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวได้ง่ายกว่าของจีนไม่ได้ช่วยให้ระบบขับเคลื่อนอัจฉริยะเกิดขึ้นได้ไวกว่าอย่างที่คนเข้าใจขนาดนั้น
ในเรื่องรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ (AV) ฝั่งสหรัฐยังทำได้ดีกว่าชัดเจน และมี ecosystem ที่พร้อมกว่า ตั้งแต่ผู้ผลิตไปจน software
โดย Tesla ยังทำในส่วน AV ได้ดีกว่าค่ายจีนชัดเจน
.
#ผู้เล่นอื่นกำลังมา
อนาคตจะมีผู้เล่นค่ายอื่นที่เปลี่ยนจากการเป็นผู้ผลิตรถยนต์แบบดั้งเดิมเป็น NEV กระโดดเข้ามาอีก เช่น Toyota, Ford และ Volkswagen โดยตัวเก็งที่น่าจะขึ้นมาเป็นเบอร์ 3 ได้น่าจะเป็น Ford
.
#กองทุนEV
กอง EV ที่น่าสนใจแบ่งเป็น 2 แบบคือ
#กอง P-CGREEN เป็น EV จีน + Clean Energy จีน
#กอง UEV เป็น Ecosystem ของแบต Lithium + RobecoSAM Smart Mobility Equities ซึ่งจะมีหุ้น autonomous vehicle อย่าง ON Semi และ NXP ด้วย
.
#ปิดท้ายไลฟ์
BottomLiner บอกว่ากำลังสร้าง Guru Port ร่วมกับ Finnomena ในชื่อ “OMO” หรือ “โอโม่”
(Optimal Megatrend Opportunities)
โดยเอา megatrend ต่าง ๆ มากรองด้วย framework ของ BottomLiner เพื่อหา megatrend ที่ใช่ในเวลาที่ถูกต้อง
Balance ผลตอบแทนและความเสี่ยงให้เหมาะสม
โดยใช้ Risk Budgeting แบบ Ray Dalio เข้ามากำหนดน้ำหนัก
ปิดท้ายด้วยการป้องกันเงินเฟ้อและมีเงินสดเตรียมพร้อมสำหรับโอกาส
.
ซึ่งรายละเอียดเพิ่มเติมจะตามมาเร็ว ๆ นี้
.
BottomLiner
#บทสรุปการลงทุน #รถยนต์ไฟฟ้า #EV #กองทุน #Tesla #BYD #Nio #Xpeng #LiAuto #Ford #Volkswagen #Lucid #Rivian