สรุป Subprime Crisis 2008 และรีวิวหนัง The Big Short (ฉบับอ่านง่าย) Part 1
ช่วงนี้ความกังวลเรื่องอสังหาทั้งในสหรัฐและจีน กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง BottomLiner จึงขอหยิบเรื่องวิกฤต Subprime มาเล่าให้ฟัง
#เรียนรู้จากอดีตเพื่อรับมือปัจจุบัน
สรุป Subprime Crisis 2008 และรีวิวหนัง The Big Short
(ฉบับอ่านง่าย) Part 1
.
หลายคนที่ไม่ได้สนใจด้านการเงินและการลงทุน
เมื่อดูหนังเรื่อง The Big Short แล้ว อาจจะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่
เพราะหนังจะมีศัพท์การเงินที่เข้าใจยากอยู่ประมาณหนึ่ง
(แม้หนังจะพยายามอธิบายให้ง่ายแล้ว)
โพสต์นี้ BottomLiner จึงเขียนสรุปวิกฤต Subprime 2008 ในสหรัฐ
(วิกฤตสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ที่มีเครดิตต่ำ)
ซึ่งเป็นวิกฤตที่ว่ากันว่ารุนแรงที่สุดในรอบหลายร้อยปี
ในแบบที่คนทั่วไปจะเข้าใจได้
.
ปูพื้นก่อนเริ่มเหตุการณ์ในหนัง
อเมริกาเป็นประเทศที่เศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกตั้งแต่ปี 1890
ซึ่งมาจากนวัฒกรรมในการผลิต การเงิน และเทคโนโลยี มีผู้คนจากหลากหลายประเทศเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ทำงาน เป็นจำนวนมากด้วยค่าแรงที่สูง
.
หลังจากสงครามโลกทั้ง 1 และ 2 มา
อเมริกาเติบโตได้ดีมาตลอดร่วม 80 ปีแล้ว
แม้จะมีหดตัวบ้าง วิกฤตบ้าง
ก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น
และอสังหาก็เติบโตมาคู่กับเศรษฐกิจของ US ที่ขยายตัวมาตลอด
.
ช่วงที่อสังหาของ US เติบโตเป็นขาขึ้นรอบใหญ่ มันแบกหนี้ก้อนใหญ่มาด้วย
และใช้เวลาสะสมกว่าเกือบ 30 ปี
(ช่วงเข้าสู่ดอกเบี้ยขาลงตั้งแต่ปี 1982)
ก่อนจะเกิดวิกฤติ Subprime ขึ้นในปี 2008
.
เมื่อดอกเบี้ยลดลง
การอนุมัติกู้เงินก็ง่ายขึ้น ค่าใช้จ่ายที่น้อยลง
ส่งผลให้คนกู้เงินมาใช้อุปโภค บริโภคมากขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงซื้อบ้านกันมากขึ้น
ทั้งซื้อเพื่ออยู่อาศัย เป็น passive income หรือสินทรัพย์เก็งกำไร
.
ตลอดหลายสิบปี เริ่มมีคนที่ประสบความสำเร็จ
จากการซื้อบ้านมาขาย มาปล่อยเช่า มากขึ้นเรื่อย ๆ
เป็นเวลาเกือบ 30 ปี ที่ราคาบ้านเพิ่มสูงขึ้นตลอดเวลา ใครซื้อไว้ก็ได้กำไร ไม่มีใครคาดคิดด้วยซ้ำว่าราคาบ้านจะลดลงได้ เพราะอสังหาถูกมองว่าเป็น safe asset
(วันนี้ก็ยังมีคนคิดอยู่ ซึ่งผิด อสังหาราคาเหวี่ยงแรงคล้ายหุ้น แค่ไม่มีระบบคอยมาโชว์ราคารายวันเหมือนหุ้น)
.
เมื่อดอกเบี้ยต่ำลงเรื่อย ๆ มันจึงดึงให้คนสนใจซื้ออสังหามากเป็นทวีคูณ
บ้างซื้ออยู่อาศัยเอง บ้างซื้อสะสมหวังรวย บางคนมีได้ถึง 3-4 แห่ง
ฝั่งบริษัทก่อสร้างต่าง ๆ เมื่อเห็นความต้องการของลูกค้าเพิ่มก็สร้างเพิ่มให้มากที่สุด
ฝั่งสถาบันการเงินก็เห็นว่าบ้านเป็นสิ่งที่คนจะไม่ทิ้งไปแน่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เพราะมันเป็นเหมือน Safe Zone และเป็นสิ่งที่ทุกคนไฝ่ฝันว่าจะมี
ขาขึ้นอันยาวนานได้วาดฝันกำไรอันสวยงามให้กับทุกฝ่าย
วิกฤตSubprime
การพังทลายเริ่มขึ้นจากความโลภของทุกฝ่ายนั้นเอง
เมื่อสถาบันการเงินเริ่มปล่อยให้สินเชื่อให้คนที่เครดิตการเงินต่ำกว่าที่ควรอนุมัติ แลกกับการได้ค่าธรรมเนียมที่สูงกว่าปกติ และเอาบ้านเป็นหลักประกัน
สถาบันการเงินมองว่า ความเสี่ยงมันไม่เพิ่ม เพราะใครที่ไหนจะทิ้งบ้านได้ พวกคนกู้บ้านจะต้องยอมโดยขูดเลือดขูดเนื้อเพื่อแลกกับการมีบ้านอยู่แน่นอน
และราคาบ้านก็สูงขึ้นตลอด เดี๋ยวลูกค้าก็ขายได้แพงขึ้น
.
ยังไม่พอสถาบันการเงินก็วนเอาบ้านที่ได้เป็นหลักประกัน
มาทำหุ้นกู้เพื่อดึงเงินจากนักลงทุนมาปล่อยให้คนกู้บ้านได้เพิ่ม
ตัวไหนนักลงทุนไม่สนใจก็จับมามัดรวมกันกับตัวคุณภาพดีเอามาขายใหม่
(ในหนังThe Big Short มีการเปรียบเทียบเหมือนเอาเนื้อสัตว์ใกล้เน่า
ที่จริง ๆ ต้องทิ้งมาปรุง แล้วก็ตุ๋นเป็นซุป สามารถเสริฟในร้านอาหารหรูได้
ทั้งที่จริง ๆ เป็นวัตถุดิบชั้นเลว)
.
แม้คุณภาพหุ้นกู้พวกนั้น คนในวงการจะพอรู้ว่าไม่ดี
แต่บริษัทจัดเรทติ้งก็จัดเรทติ้งให้ดีได้
เพราะมองเห็นกำไรของตัวเองอยู่เหนือความจริง
และคิดว่า ถึงบริษัทของตนไม่จัดเรตติ้งให้
สถาบันการเงินก็ไปใช้เจ้าอื่นอยู่ดี
เหตุการณ์ต่าง ๆ ดำเนินต่อไปได้อีกหลายปีจน
คนที่กู้ซื้อบ้านเริ่มจ่ายดอกไม่ไหว และเริ่มทิ้งบ้าน
ก่อนหลาย ๆ ฝ่ายจะล้มตามกันเป็นโดมิโน่
.
ราคาบ้านที่ไม่มีใครคิดว่าจะลง ก็ลงเฉลี่ยกว่า -30%
ตลาดหุ้นสหรัฐตกหนักกว่า -50%
ราคาทรัพย์สินที่ลดลงส่งผลให้ความมั่งคั่งของผู้คนทั่วประเทศหายไป
และเริ่มชะลอการใช้จ่าย ทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ช่วงหดตัวในที่สุด
หนี้เสียพุ่งสูงกว่า 5%
มีธุรกิจล้มละลาย มีคนตกงานจำนวนมาก
ความเสียหายทั้งหมดนั้นไม่สามารถคิดเป็นตัวเลขที่ชัดเจนได้
แต่หากนับแค่ความเสียหายจากหุ้นในตลาดหลักทรัพย์และ บ้านที่สูญเสียมูลค่าไป
คิดเป็นมูลค่ากว่า $20 Trillion หรือ ราว ๆ 660 ล้านล้านบาทในขณะนั้น
.
วิกฤตดีขึ้นได้อย่างไร?
วิกฤตที่เกิดขึ้นใหญ่เกินที่ ธนาคารกลาง (FED) และรัฐบาลสหรัฐประเมินไว้มาก ๆ ความเชื่อมั่นต่อระบบการเงินลดลงอย่างรุนแรง คนเริ่มถอนเงินจากธนาคารมาเก็บไว้เองเพราะกลัวว่าถ้าช้าจะไม่มีสิทธิ์ถอน ยิ่งเป็นการซ้ำเติมให้ธนาคารหมุนเงินไม่ทัน สภาพคล่องแทบไม่เหลือ ลามต่อไป ทำให้การปล่อยกู้ เงินเพื่อทำธุรกิจถูกหยุดชะงักไว้หมด
ซึ่งแม้กระทั่งบริษัทที่มีความมั่นคงสูง ยังหาเงินมาใช้หมุนแทบไม่ได้
.
ปัญหาหลักในช่วงนั้นคือขาดสภาพคล่อง จึงเกิดนโยบายร่วมระหว่าง FED และรัฐบาลสหรัฐ ในการยินยอมให้พิมพ์เงินเพิ่มจำนวนมาก (QE) เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในระบบธนาคาร และรัฐบาลต้องออกนโยบายช่วยเหลือขนาดใหญ่หลายอย่าง เพื่อเพิ่มความมั่นใจ ซึ่งสุดท้ายแล้ว การปล่อยกู้เริ่มฟื้นกลับมา ช่วยให้ระบบการเงินหมุนเวียนได้อีกครั้ง
(อ่านแล้วเหมือนง่าย ๆ แต่ช่วงนั้นต้องบอกว่าไม่มีคนรู้แน่ชัดว่าจะแก้ปัญหาได้หรือไม่)
ตรงนี้ต้องยกความดีความชอบให้ FED ที่เลือกวิธีแหวกแนวใช้ QE เพิ่มสภาพคล่องขนาดมหาศาล เพราะไม่เช่นนั้นแล้ววิกฤตอาจฉุดเศรษฐกิจให้แย่เป็น 10 ปี เกิดเป็น lost decade ได้เหมือนกัน
ซึ่งสหรัฐเคยพลาดยอมปล่อยให้ขาดสภาพคล่องจนลุกลามเป็นเหตุการณ์เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (The Great Depression) ในปี 1929
.
ปัจจุบันได้ผ่านวิกฤต Subprime มาเป็นเวลากว่า 13 ปีแล้ว
และราคาบ้านในปัจจุบันสูงกว่าช่วงวิกฤต Subprime ราว ๆ +45%
หรือเพิ่มราว ๆ +3% ทบต้น
ถึงแม้ดูจะน้อยกว่าค่าเฉลี่ยที่ควรจะเป็นแต่หากเรามองแยกเป็นปี
จะเห็นว่าหลังหลังปี 2020 มา ราคาบ้านในสหรัฐเริ่มกลับมาเร่งตัวขึ้นอีกครั้ง …
ซึ่งก็สัมพันธ์กับนโยบายลดดอกเบี้ยจนใกล้ศูนย์และพิมพ์เงินเข้าระบบจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมานั้นเอง
.
จบครึ่งแรก เดี๋ยวครึ่งหลังเราจะมีรีวิวหนัง The Big Short กันในตอนหน้า
.
สงสัยตรงไหนสามารถถามในคอมเม้นต์ได้เลย
.
BottomLiner