เรียนรู้จากวิกฤติ ตอนที่1 รู้จัก Tronics & Nifty 50 Bubbles
ฟองสบู่หุ้นนวัตกรรมและ หุ้น Blue Chip ในยุค 60-70
.
.
รู้หรือไม่ว่านอกจาก great Depression, dot-com Bubble และ Hamberger crisis แล้ว โลกนี้ยังมีฟองสบู่เกิดขึ้นอีกหลายครั้ง แม้ความรุนแรงในเศรษฐกิจอาจจะไม่เท่า แต่ผลกระทบในตลาดหุ้นนั้นถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียว
.
วันนี้ BottomLiner จะมาเล่าถึง Tronics Bubble และ Nifty 50 Bubble
ซึ่งเกิดในช่วงยุค 60-70 ซึ่งเป็นฟองสบู่ที่หลายคนมองข้ามไป
.
เพราะคำว่า “this time it’s different” (เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ๆ ) ที่เพจเรายกมาพูดบ่อย ๆ ถูกใช้มาตลาดในทุกฟองสบู่
.
ย้อนกลับไปในปี 1959
โลกตื่นเต้นมาก ๆ กับการมาของ “แผงวงจร electronic”
และชิ้นส่วนวงจรเล็ก ๆ ที่เรียกว่า “MOSFET” ซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่ถูกนำเข้ามาใช้แทนชิ้นส่วนที่เป็นหลอดแก้วสูญญากาศแบบเดิม
ทำให้แผงวงจร electronic สามารถเข้าสู่ mass production ได้เป็นครั้งแรก
.
การผลิตทำได้รวดเร็ว ประหยัดและมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ในขณะเดียวกัน MOSFET คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้โลกนี้รู้จักกับ “สัญญาณ Digital” และเข้ามาปฏิวัติวงการ electronic ให้เปลี่ยนไปตลอดกาล
.
เรียกได้ว่าโลกรู้จักกับชิพ semiconductor ในยุคแรก
.
ทำให้ในช่วงปี 60 นี่เอง ที่ผู้คนได้สัมผัสกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างไม่เคยสัมผัสมาก่อน และมันสร้างความฝันอันยิ่งใหญ่ให้กับทุกคน
รวมถึงนักลงทุนในตลาดด้วย
.
หุ้นผู้ผลิตนวัตกรรมอย่าง Texas Instruments และ IBM ถูกซื้อขายกันที่ P/E กว่า 80-100 เท่า (ก่อนหน้านั้นหุ้นเทรดกัน P/E ประมาณ 10-30 เท่า)
นอกจากนี้ยังมีหุ้นบริษัทใหม่ ๆ เข้าตลาดมากที่สุดในประวัติศาสตร์
ความบ้าคลั่งของนวัตกรรม electronic นี่เอง
ที่ทำให้ยุค 60 ถูกเรียกว่า “Tronics Boom” เพราะหุ้นที่ถูกลิสต์ใหม่ ๆ นั้นมักจะใช้คำที่เกี่ยวกับ electronic
แม้บริษัทเหล่านี้ หลาย ๆ บริษัท
ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับอุตสาหกรรม electronic เลยสักนิด
.
(เหตุการณ์คุ้นๆ)
.
ผู้คนไหลเข้าตลาดอย่างบ้าคลั่ง เพื่อให้ได้เป็นเจ้าของบริษัทนวัฒกรรมเหล่านั้น โดยไม่ได้สนด้วยซ้ำว่าบริษัทเหล่านั้นทำธุรกิจอะไร ขอเพียงฟังดูเกี่ยวข้องกับ electronic พวกเขาก็พร้อมจะลงทุน
เช่นบริษัทขายแผ่นเสียงชื่อ “American Music Guild” เปลี่ยนชื่อเป็น “Space-Tone” และเข้า IPO
หลังจากนั้นราคาก็พุ่งจาก $2 เป็น $14 ในไม่กี่สัปดาห์
.
ร้านคุกกี้ทำมือ “mother’s Cookie” เปลี่ยนชื่อเป็น
“mothertron’s Cookitronics” เพื่อเข้าตลาด
ราคาทะยานจาก $15 เป็น $23 ในวันแรกที่ซื้อขาย
.
นอกจากกระแสหุ้น Tronics แล้วยังมีแนวการลงทุนอีกแนวที่ได้รับความนิยมในช่วงเวลานั้น
“ลงทุนในบริษัทเล็ก ๆ ที่เรื่องราวสุดอลังการ”
เนื่องจากนักลงทุนทั้งสถาบันและรายย่อยจำนวนมาก เห็นถึงความสามารถของหุ้นเติบโตที่สามารถขยายบริษัทได้รวดเร็ว กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ทำกำไรให้ผู้ถือหุ้นได้มหาศาล
จึงพยายามซื้อดักล่วงหน้าไว้ กวาดซื้อหุ้นที่อาจจะขึ้นเป็นบริษัทผู้ชนะในอนาคต โดยไม่ได้สนใจเรื่องของงบการเงินหรือผลประกอบการอีกต่อไป
เพราะหุ้นดีหรือไม่ ดูได้ผ่านราคา
ขอเพียงราคาหุ้นขึ้นไปเรื่อย ๆ
บริษัทมีเรื่องราวที่น่าสนใจ พวกเขาก็พร้อมจะซื้อ
.
นักลงทุนหวังว่าจะมีคนชอบในเรื่องราวเหล่านี้เหมือนพวกเขา
และแห่กันมาซื้อต่อจากพวกเขาในราคาที่แพงกว่า
.
ซึ่งเรื่องนี้จบลงด้วยหลาย ๆ บริษัทมีการปรับแต่งบัญชี
หลายบริษัทมีการพูดถึงผลิตภัณฑ์และบริการของตัวเองไว้เกินจริง
บ้างก็ตั้งเป้าหมายไว้สูง ๆ เพื่อขายนักลงทุนเท่านั้น
.
ในยุคนั้นมีคณะกรรมการกำกับดูแลหลักทรัพย์เรียบร้อยแล้ว แต่ไม่สามารถเอาผิดอะไรกับหุ้นเหล่านี้ได้ เพราะบริษัทเหล่านี้ได้มีการเขียนเตือนไว้ในหนังสือชี้ชวนเป็นที่เรียบร้อย เช่น
“บริษัทไม่มีทรัพย์สินหรือกำไรใด ๆ เป็นหลักประกัน ทำให้บริษัทมีความเสี่ยงสูงมาก”
.
ซึ่งคำเตือนเหล่านี้
คงไม่ได้ต่างจากคำเตือนหน้าซองบุหรี่ที่ไม่สามารถหยุดคนให้สูบบุหรี่ได้ เช่นเดียวกับการไปบอกว่าการลงทุนครั้งนี้มีความเสี่ยงสูง
ก็ไม่สามารถปิดกั้นผู้คนจำนวนมากจากความโลภ
.
กระแสหุ้น Tronics Booms และหุ้นเล็กที่เล่นใหญ่ได้รับความสนใจอยู่ได้ราว ๆ 4-5 ปี ก่อนที่จะจืดจางไป และแทบจะหายจากตลาดในยุค 70
.
ความเจ็บปวดที่สะสมมาตลอดยุค 60 ทำให้นักลงทุนหันมาใช้เหตุผลมากขึ้น ยุคทองการเก็งกำไร ซื้อหุ้นอย่างไร้เหตุผลได้ผ่านไป
ได้เวลาซื้อหุ้นและออกไปตีกอลฟ์ชิล ๆ แทน
.
ตลาดหันกลับมาให้ความสนใจซื้อหุ้นด้วยเหตุผลมากขึ้นอย่างหุ้น “Blue Chip”
ที่มีของคำว่าหุ้น Blue Chip มาจากเกม Poker ซึ่ง Chip สีน้ำเงินจะมีมูลค่าสูงสุด
.
เพราะคิดว่าอย่างน้อย บริษัทเหล่านี้จะไม่หายไปแน่ ๆ และต่อให้มันแพงเกินไปบ้าง เดี๋ยวสักพักบริษัทก็จะทำกำไรได้มากขึ้น
จนราคาที่ซื้อแพงตอนนี้ สมเหตุสมผลเองในอนาคต
.
นักลงทุนสถาบันมองว่าการซื้อหุ้น Blue Chip นี่เอง
ที่แก้ปัญหาในชีวิตพวกเขาได้
ความน่าเชื่อถือและการเติบโตที่ได้รับการพิสูจน์มาแล้ว ทำให้พวกเขาไม่ต้องคอยตอบคำถามกับหัวหน้าหรือผู้ร่วมงาน
ถึงเหตุผลในการตัดสินใจ
นอกจากนี้การเข้าซื้อทีละมาก ๆ
ยังไม่ส่งผลกระทบต่อราคาของหุ้นใหญ่
.
ทำให้เกิด trend การซื้อหุ้นครั้งเดียว ถือยาวตลอดชีวิตในช่วงนั้น
(ช่วงนั้น ปู่ Buffett ดังแล้ว อาจจะมีเรื่องวิธีคิดของ Buffett มาเกี่ยวข้องด้วย)
.
เงินจำนวนมากไหลเข้าหุ้นกลุ่ม Nifty 50
ซึ่งรวม 50 หุ้นที่ใหญ่ที่สุดในตลาด New York ไว้
จนหุ้นกลุ่ม Nifty 50 ซื้อขายกันที่ P/E 50-90 เท่าเลยทีเดียว
.
ความเชื่อมั่นของนักลงทุนถือยาวอยู่ได้ 3-4 ปี
แล้วหนังเรื่องนี้ก็จบแบบเดิม
จากนักลงทุนบางกลุ่มเริ่มเห็นโอกาสในการลงทุนอย่างอื่น
ที่ดูคุ้มค่ากว่า แล้วเริ่มลุกออกจากวง
ก่อนจะมีคนกลุ่มอื่นลุกตามมาเรื่อย ๆ
.
ทำให้ตลาดหุ้นเข้าสู่สภาพขาลงอีกครั้งเป็นเวลาเกือบ 10 ปี (1973-1982)
.
ก่อนจะกลับเป็นขาขึ้นอีกครั้ง
ซึ่งเป็นยุคที่เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่คนในยุค 60-70 วาดฝันไว้เริ่มทำได้จริง
(ซึ่งจริง ๆ ก็มี ฟองสบู่ไบโอเทค เกิดขึ้นอีกในยุค 80
เรื่องก็เหมือนลอกฟองสบู่ Tronics มาเลยทีเดียว )
.
.
เรื่องฟองสบู่ทั้ง 2 ครั้งกินระยะเวลารวมกันกว่า 20 ปี
ในยุคที่เงินทั่วโลกไม่ได้ไหลไปมาได้อย่างอิสระ
ขนาดตลาดไม่ได้ใหญ่ ผู้เล่นในตลาดไม่ได้เยอะเหมือนทุกวันนี้
.
ในขณะที่โลกโลกาภิวัฒน์ในปัจจุบัน
เงินสามารถไหลไปรวมกันได้อย่างรวดเร็ว ทั่วโลกสามารถรับรู้ข่าวสารได้ในระยะเวลาที่ต่างกันไม่ถึงหลักชั่วโมง
และใคร ๆ ก็ต่างลงทุนกันทั้งนั้น
.
(ล่าสุดเข้าร้านหนังสือพบว่า 9 ใน 10 Best Seller เป็นหนังสือลงทุน
เดินผ่านวินมอเตอร์ไซค์ที่กำลังคุยกับป้าขายหมูปิ้ง เรื่องเทคโนโลยี Blockchain ที่จะเข้ามาเปลี่ยนโลก
คนรู้จักที่ซื้อหวยเดือนละเป็นหมื่น หันเข้ามาลงทุน)
.
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่ทรัพย์สินที่ได้รับความสนใจ
จะสามารถทำกำไรได้มหาศาล
จากหลักร้อยเปอร์เซ็นต์ในช่วง ปี 60-70
เป็นหลักพัน หลักหมื่นเปอร์เซ็นต์ในปัจจุบัน
.
ไม่มีใครคาดเดาตอนจบของเรื่องได้อย่างถูกต้องทั้งหมด สิ่งที่ทำได้มีเพียงลงทุนด้วยความระมัดระวัง
มองอดีตเป็นบทเรียน
บริหารความเสี่ยงและเตรียมพร้อมกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
เพราะไม่แน่ว่าในอนาคต เราทุกคนก็อาจเป็นบทเรียนที่เจ็บปวด
ให้รุ่นลูก รุ่นหลานได้เรียนรู้อย่างบทความนี้เช่นกัน
.
ฟองสบู่มักจะเกิดขึ้นจาก 2 สิ่ง คือ
เทคโนโลยีที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่
และ โอกาสในการทำธุรกิจใหม่ ๆ
ซึ่งทั้ง 2 สิ่งมาเจอกันในยุคการตื่นขึ้นของ Internet
ติดตาม dot-com bubble
ได้ในตอนต่อไป…
.
BottomLiner