เรียนรู้จากอดีตตอนที่ 3 : วิกฤตปี 1929 ผลพวงที่ทำให้เกิดสงครามโลก
BottomLiner Exclusive
ไฮไลท์
1. รูปเป็นดัชนี Dow Jones ในปี 1926 – 1947
2. สหรัฐพิมพ์เงินเองโดยไม่ใช้ทองคำค้ำประกัน
3. วิกฤตครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดสงครามโลก
=====
บทความนี้เป็นการเป็นตอนที่ 3 จากซีรีย์ Macro จากกลุ่ม Exclusive อ่านตอนอื่น ๆ ได้ในกลุ่ม Exclusive >>
=====
ความขัดแย้งหรือสงคราม เป็นสิ่งที่ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่ามนุษย์ยังมีความคิดแบบเดิมเสมอ โดยเฉพาะหลังเกิดความฝืดเคืองของเศรษฐกิจขั้นรุนแรง
[#เศรษฐกิจบูมในยุค1920]
การเติบโตต่อเนื่องของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วง 1920-1928 ทำให้ผู้คนสุขสบาย และตามมาด้วยการใช้จ่ายที่มากเกินตัว เกิดหนี้สะสมทั้งในส่วนของคนทั่วไปและบริษัท เพราะในช่วงที่เศรษฐกิจยังโต บริษัทสร้างกำไรได้ง่ายจากการกู้เงินมาลงทุนสร้างโรงงานใหม่และขายของเพิ่มขึ้น
ทางด้านตลาดหุ้นในยุคนี้บูมสุดๆ Valuation หลายตัวพุ่งทะลุเพดาน มีการกู้ margin มาลงทุนมากโขซึ่งก็ไม่ใช้เรื่องแปลกเพราะตลาดหุ้นขึ้นมาเยอะซะทุกคนต่างมองบวก
[#ขึ้นดอกเบี้ยชะลอเงินเฟ้อ]
เมื่อเศรษฐกิจโตดี Fed จึงเริ่ม Tightening เพื่อชะลอเงินเฟ้อ ซึ่งในช่วงแรกนักลงทุนรายย่อยกลัวแต่ผ่านไปซักพักพบว่าเศรษฐกิจยังโตและตลาดหุ้นก็เดินหน้าต่อ
แต่ความจริงได้เฉลย “หลังดอกเบี้ยขึ้นมาซักพัก” เหล่า Smart Money ในยุคนั้นโยกเงินออกจากทรัพย์สินเสี่ยงเพราะ Upside จำกัด หันมาถือ Bond ที่ให้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น กระทบดัชนี Dow Jones ร่วงจากเกือบ 400 จุด มาเหลือ 200 จุด ภายใน 3 เดือน (ปี 1929) สร้างความปั่นป่วนไปทั้งตลาดหุ้น ลามไปถึงการเทขายตราสารหนี้เสี่ยงสูง (คล้าย High-yield ในยุคนี้)
กลับกันตราสารหนี้เสี่ยงน้อยของบริษัทคุณภาพดีและพันธบัตรรัฐบาลถูกคนรุมซื้อจากเม็ดเงินที่หนีมาจากทรัพย์สินเสี่ยง
“Our economy is strong” เศรษฐกิจยังดี เป็นประโยคยอดฮิตของรัฐบาลและ Fed ในช่วงนั้น ซึ่งเป็นเรื่องไม่จริง
[#ตัวเลขเศรษฐกิจเริ่มแย่]
ยอดขายค้าปลีกและภาคการผลิตไม่ดีเหมือนเคย ทำให้บริษัทหลายแห่งขอกู้จากธนาคารยากขึ้น อีกฝั่งนักลงทุนต่อรองอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ให้สูงขึ้น จึงเกิดภาวะขาดแคลนเงินหมุนเวียนในบริษัทยิ่งซ้ำเติมก้อนหนี้ที่สูงอยู่แล้ว
กระแสข่าวเศรษฐกิจฝืดเคืองสะพัดไปทั้งสหรัฐ ทำให้ผู้คนลดการใช้จ่ายและประหยัดอดออมกว่าเดิม แม้เป็นเรื่องดี แต่ในมุมมองทั้งประเทศการพร้อมใจกันประหยัดทำให้กระทบภาคการบริโภคค่อนข้างหนัก และตามที่บอกไปด้านบนว่าในช่วงบูมของเศรษฐกิจ มีโรงงานใหม่ๆเกิดขึ้นมากมายกลายเป็นกำลังการผลิตส่วนเกินไม่มีการใช้งาน และที่แย่คือส่วนใหญ่เป็นการกู้มาลงทุน
เนื่องจากการค้าขายระหว่างประเทศเชื่อมโยงกันบ้างในยุคนั้น แม้ไม่มากแต่การชะลอตัวในสหรัฐได้ลามให้โรงงานในอังกฤษ ยุโรปต้องปลดคนงาน เกิดคนว่างงานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กระทบยอดค้าปลีกในอังกฤษและยุโรปเหมือนกัน เรียกได้ว่าวิกฤตเศรษฐกิจมาเยือนยุโรปกระทบเป็นลูกโซ่ลามไปทั่วโลก
[#ความขัดแย้งเพิ่มขึ้น]
ปัญหาความกินดีอยู่ดีเป็นฟางเส้นสุดท้ายให้เกิดการลุกฮือของกลุ่มชนชั้นในสังคม เพราะความโกรธในจิตใจถูกนักการเมืองหรือผู้นำการประท้วงราดน้ำมันลงง่ายๆ
ซึ่งในปลายปี 1932 สหรัฐมีเลือกตั้งประธานาธิบดีพอดี ด้วยสภาพเศรษฐกิจอันย่ำแย่ จึงทำให้เกิดการเปลี่ยนขั้วจาก Republican กลายมาเป็น Franklin D. Roosevelt ของพรรค Democrat โดยนโยบายหาเสียงหลักๆไม่ได้มีอะไรซับซ้อนนัก เน้นไปที่การเปลี่ยนเพื่อสิ่งที่ดีกว่า เพราะของเดิมมันเละเทะมาก
(เรื่องนี้มาเกิดขึ้นซ้ำในวิกฤตปี 2008 ที่ Obama ชนะเลือกตั้งด้วยคำคมหาเสียงสั้นๆเท่ๆ “CHANGE”)
เมื่อได้ประธานาธิบดีคนใหม่ การทำงานแนวใหม่ก็เปิดกว้าง เพราะไม่ต้องแบกความผิดไว้เหมือนรัฐบาลที่แล้ว ซึ่งตอนนี้นักการเงินชั้นนำของประเทศถูกนำมาช่วยวางแผนหาทางรอดจากวิกฤต ซึ่งส่วนใหญ่ชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่าต้องนำเงินสดหรือสภาพคล่องมาให้ธนาคารหลักๆ ของประเทศให้ได้ หลังจากนั้นสภาพคล่องจะถูกส่งต่อไปยังบริษัททั่วไปผ่านการกู้เงินหรือออกหุ้นกู้ เศรษฐกิจจึงจะกลับมาเดินหน้าได้อีกรอบ
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่ารัฐบาลก็ไม่มีเงินเหมือนกัน แต่เกิดไอเดียเลิกการผูกค่าเงินดอลลาร์กับทองคำ เพื่อที่ Fed จะสามารถพิมพ์เงินกระตุ้นเศรษฐกิจได้อิสระ
(ก่อนหน้านั้นเงินดอลลาร์ถูกผูกกับทอง ใครถือ USD นำมาแลกทองคำกับรัฐบาลได้เลย)
จึงเกิดนโยบายอัดมาชุดใหญ่ยกเลิกการผูกเงินดอลลาร์กับทองคำ เปิดโอกาสให้ Fed พิมพ์เงินเองและส่งต่อให้ธนาคารหลักๆได้เลย
ตามมาด้วยการอัดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจแพ็คใหญ่ดันให้สหรัฐฟื้นตั้งแต่ปี 1933 ยุติภาวะล้มเหลวทางการเงิน
[#พ้นวิกฤตแต่ความโกรธของประชาชนยังอยู่]
“แก้แค้น 10 ปีก็ไม่สาย” อาจจะเป็นคำคมของคนยุคนั้นด้วย เพราะแม้วิกฤตจะผ่านไปแล้ว แต่ความขัดแย้งของคนในสังคมยังสูงอยู่ ลามไปถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศ เช่น นาซีเยอรมันได้ฮิตเลอร์เป็นผู้นำในปี 1933 ทำให้หลังจากนี้ไม่นานเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1939
โดยเหมือนกับทุกครั้งก่อนสงครามใหญ่ ก่อนหน้านั้นจะมีสงครามการค้า, กีดกันไม่ส่งมอบทรัพยากรให้ประเทศคู่อริ, ยึดทรัพย์สินของฝ่ายตรงข้าม เกิดขึ้นก่อน
BottomLiner ขอเรียกเรื่องแบบนี้ว่า “มนุษย์ยังมีความคิดแบบเดิมเสมอ”
รอติดตามสถานการณ์ตลาดหุ้นในสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ในตอนหน้าครับผม
BottomLiner