ทำไมวิกฤตเศรษฐกิจที่มีเงินเฟ้อรุนแรง รับมือยากกว่าวิกฤตเศรษฐกิจที่เงินฝืด?
คนไทยส่วนใหญ่น่าจะคุ้นกับวิกฤตเศรษฐกิจที่มาพร้อมเงินฝืดมากกว่าเงินเฟ้อ
หากย้อนกลับไป ร่วม 30 ปีที่ผ่านมา โลกเราเผชิญวิกฤตใหญ่อะไรบ้าง?
วิกฤตต้มยำกุ้ง/ ทศวรรษที่สาบสูญ 30 ปีของญี่ปุ่น/ วิกฤต Subprime ของสหรัฐ หรือเป็นช่วงโรคระบาดปี 2020 ที่ผ่านมาก็ดี แม้จะมีสาเหตุที่ต่างกัน แต่จริง ๆ หากแบ่งด้วยเงินเฟ้อกับเงินฝืดนั้น ก็จะมีอยู่แค่ 2 แบบเท่านั้น และแบบเงินฝืดจะแก้ไขง่ายกว่า หากผู้ออกนโยบายแก้ไขอย่างถูกต้องจะทำให้วิกฤตเกิดขึ้นสั้นกว่า และความเสียหายน้อยลงอย่างมาก
.
ซึ่งครั้งที่ผู้ออกนโยบายทำถูกต้องที่สุด คือ วิกฤต Subprime จากการพิมพ์เงินจำนวนมาก (QE) เข้ามาจนสามารถชดเชยการใช้จ่ายที่ขาดหายไปของระบบได้ ลดความตื่นตระหนกจากราคาทรัพย์สินต่าง ๆ ที่ลดลง รวมถึงเกิดความเชื่อมั่นในระบอบเศรษฐกิจและผู้คนกลับมาใช้จ่ายอีกครั้ง
.
อธิบายสั้น ๆ ก่อนครับ ว่าเครื่องมือในการรับมือวิกฤติเศรษฐกิจมีด้วยกัน 4 เครื่องมือหลักๆ ซึ่งการจะผ่านวิกฤติได้ด้วยดีจำเป็นต้องใช้เครื่องมือเหล่านี้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
1.การรัดเข็มขัด: ลดการใช้จ่าย (เหมือนคนเป็นหนี้สูงขึ้นก็ต้องประหยัดค่าใช้จ่ายมาจ่ายหนี้ ดูเหมือนจะดีแต่สิ่งที่ตามมาคือเศรษฐกิจจะชะลอหนัก)
2.พิมพ์เงิน: เพิ่มสภาพคล่องเงินในระบบ กระตุ้นความเชื่อมั่นและการใช้จ่ายในประเทศ ป้องกันไม่ให้สถาบันที่สำคัญของประเทศเกิดความเสียหายซึ่งจะทำให้ความตื่นตะหนกเกิดขึ้นหนักกว่าเดิม
3.ปล่อยให้ล้มละลาย: รัฐปล่อยให้ธุรกิจหรือสถาบันที่มีปัญหาล้มละลายและปรับโครงสร้างหนี้ หรือปล่อยให้ธุรกิจที่ดีซื้อกิจการต่อ
4.จัดโครงสร้างความมั่งคั่งในประเทศใหม่: คือการเรียกเก็บภาษีกับคนที่มีความมั่งคั่งในประเทศสูง
การพิมพ์เงินเป็นเครื่องมือเดียวที่ไม่สร้างความเจ็บปวดให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอย่างชัดเจน จึงเป็นเครื่องมือที่นิยมใช้มากที่สุด รวมถึงทำให้คนรู้สึกรวยขึ้นและกล้าใช้จ่ายมากขึ้น ในขณะที่อีก 3 เครื่องมืออื่นนั้น มักทำให้เกิดความเจ็บปวดกับคนบางกลุ่มในประเทศ ซึ่งทำให้คนรู้สึกจนลง และใช้จ่ายน้อยลง
(หลักการที่สำคัญในการต่อสู้วิกฤตเศรษฐกิจคือ ต้องทำยังไงก็ได้ให้คนมีความเชื่อมั่นและกลับมาใช้จ่ายอีกครั้ง)
สิ่งเหล่านี้จะต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อวิกฤติมีเรื่องของเงินเฟ้อรุนแรงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
#เงินเฟ้อรุนแรงเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมถึงแก้ยาก
เงินเฟ้อรุนแรงมักเกิดในประเทศที่มีสัดส่วนหนี้สูงมาก ๆ โดยเฉพาะหนี้สินเหล่านั้นอยู่ในสกุลเงินต่างประเทศ จะไม่สามารถพิมพ์เงินขึ้นมาเพิ่มเพื่อชำระหนี้ได้ (ในขณะ ถ้าหนี้เป็นสกุลเงินในประเทศสามารถทำได้ )
ทำให้เมื่อเกิดวิกฤติและเงินอ่อนค่าลง จะไม่สามารถควบคุมต้นทุนในการซื้อสินค้าและบริการจากต่างชาติที่จำเป็นต่อประเทศได้
ปัญหาอยู่ที่การพิมพ์เงินเมื่อเกิดเงินเฟ้อสูงจึงไม่สามารถทำได้ เพราะมันจะให้ผลร้ายอื่น ๆ ตามมา เช่น เงินในระบบเพิ่มมากขึ้นจนทำให้เงินเสื่อมค่าหรือเงินเฟ้อพุ่งไปอีก ดูตัวอย่างได้ในเวเนซูเอลา
เมื่อหนี้สูงจนความเชื่อมั่นในการชำระหนี้เริ่มเสีย เงินที่ลงทุนในตราสารหนี้จะเริ่มเทขายออกมาเพื่อหาตราสารหนี้ในประเทศอื่นที่คุ้มค่าการลงทุนกว่า
และเมื่องเงินเฟ้อสูงขึ้นก็จะยิ่งทำให้ ผลตอบแทนการลงทุนเมื่อหักลบกับเงินเฟ้อแล้วกลายเป็นไม่คุ้ม ทำให้เกิดการเทขายตราสารหนี้ออกมาซ้ำอีกเป็นวัฏจักร
#แล้วรัฐบาลจะรับมือยังไงได้บ้าง #กรณีเกิดวิกฤติที่มาพร้อมกับเงินเฟ้อสูง
การรับมือกับวิกฤติที่มีเงินเฟ้อสูงนั้น ค่อยข้างทำได้ยากกว่าแบบเงินฝืดมากนัก
เนื่องจากเครื่องมือทั้ง 4 ข้อที่ใช้รับมือวิกฤติจะใช้ยากขึ้น ต้องคอยระวังเงินเฟ้อพุ่งตลอด กลับกันฝั่งเงินฝืดเห็นเงินเฟ้อเพิ่มก็ดีใจ
แต่ทั้งนี้ หลักการที่สำคัญยังเหมือนเดิมคือ ต้องสร้างความเชื่อมั่นในสกุลเงินให้กลับมาให้ได้จากทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ซึ่งส่วนใหญ่เมื่อเกิดวิกฤติแบบมีเงินเฟ้อสูง มักใช้เวลาในการจัดการวิกฤตินานมากซึ่งอาจกินเวลาหลายสิบปี เลยทีเดียว
.
BottomLiner