เจาะลึกอาณาจักรธุรกิจ Alibaba ตอนที่ 1 : หนทางสู่เจ้าตลาดค้าปลีกในจีน
เราแทบจะเห็นข่าวเกี่ยวกับแจ็ค หม่าแทบจะทุกวัน เค้าคือผู้ทรงอิทธิพลที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนทั่วโลก และเป็นเหมือนตัวแทนนักธุรกิจจีนที่ไปสร้างความสัมพันธ์กับนานาประเทศ ไม่เว้นแม้แต่อเมริกาในยุคของทรัมป์ที่มีหม่าได้เข้าพบปะพูดคุย และกล่าวว่าอาลีบาบาของเค้าจะช่วยสร้างงาน 1 ล้านตำแหน่งให้คนอเมริกัน
แน่นอนว่าหุ้นอาลีบาบา (BABA:US) เป็นที่สนใจของคนมากมาย มันคือหุ้นของบริษัทในเอเซียที่มีมูลค่าตลาดมากที่สุด และเป็นบริษัทแรกที่มีมูลค่า (Market capitalization) มากกว่า 4 แสนล้านดอลล่าห์เป็นบริษัทแรก และมีแนวโน้มว่าจะมีขนาดใหญ่กว่าพี่ใหญ่อย่าง Amazon ในเร็ววันนี้
อาณาจักรอาลีบาบาไม่ได้มีเพียงเวปไซต์ Alibaba.com ที่เป็น E-commerce เท่านั้น แต่เนื่องด้วยวิศัยทัศน์ของแจ๊ค หม่า อาลีบาบาจึงขยายไปธุรกิจอื่นมากมาย เรามาดูกันว่ามีอะไรบ้าง และธุรกิจไหนมีความน่าสนใจบ้าง
ธุรกิจของอาลีบาบานั้นแบ่งเป็นสี่กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้คือ
1. Core Commerce
2. Cloud Computing
3. Digital Media and Entertainment
4. Innovation Initiate and Other
ว่ากันถึงกลุ่มแรกกันก่อนนั้นคือ Core commerce ซึ่งคือธุรกิจเริ่มแรกของอาลีบาบา ธุรกิจส่วนนี้คือรายได้จากธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ (Online & Offline Commerce) ซึ่งส่วนนี้เป็นรายได้หลักของบริษัท คิดเป็นกว่า 84% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัท และยังคงเป็นธุรกิจเดียวที่สร้างกำไรให้บริษัท โดยมี EBITDA margin ที่สูงถึง 67%
แน่นอนว่าปัจจุบัน รายได้ส่วนใหญ่ยังมาจาก ค้าปลีกออนไลน์ในจีน แบบ B2C โดยคิดเป็น 87% ของรายได้ Core Commerce เครื่องมือทำเงินหลักของบริษัทคือเวปไซต์ Market Place ที่เรารู้จักกันดีอย่าง Taobao และ Tmall (ที่ให้ธุรกิจต่างชาติเอาของไปขายคนจีนผ่านเวปนี้) โดยอาลีบาบาจะได้เงินจากค่าโฆษณา ค่าบริการเกี่ยวกับการตลาด และคอมมิสชั่น
ในไตรมาสล่าสุดนี้ บริษัททำรายได้ส่วนนี้กว่า 39,557 ล้านหยวน และมีการเติบโตกว่า 64% YoY โดยมีผู้ใช้งานมือถือชาวจีนที่ซื้อสินค้าผ่าน platform ของบริษัทเป็นประจำถึง 549 ล้านบัญชี (MAUs:Monthly Active Users)
อาลีบาบายังครองแชมป์อันดับ 1 ของตลาด online market place ในจีน โดยมี JD.com ที่เป็นของ Tencent บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอินเตอร์เนตของจีน ตามมาเป็นอันดับ 2 ตามมาติดๆ เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน อาลีบาบาจึงพยายามสร้าง ecosystem ของตัวเองขึ้นมา ทั้งการเข้าสู่ธุรกิจสื่อและเอ็นเตอร์เทนเมนต์เพื่อเพิ่มช่องทางและมูลค่าการตลาดให้แก่ร้านค้าที่ใช้บริการ ซึ่งก็คือพวก Alibaba Picture, Alibaba Music, หรือ Youku (ชื่อคล้ายๆ Youtube ก็ลองเดาเอาว่าคืออะไร)
นอกจากนี้ อาลีบาบาก็เห็นว่า Logistic เป็นอีกจิ๊กซอลที่จะมาเติบเต็มเป้าหมายของบริษัท ซึ่งปีนี้เองอาลีบาบาก็ได้ลงทุนใน Cainion บริษัทด้าน Logitic ที่อาลีบาบาเข้าไปถือหุ้นใหญ่ และประกาศว่าจะลงทุนอีก 1 แสนล้านหยวน ในอีก 5 ปี เพื่อสร้างโครงข่ายโลจิสติกส์ระดับโลก
ย้อนกลับมาเรื่อง Core Commerce กันก่อน รายได้อีกส่วนที่น่าสนใจคือการค้าปลีกออนไลน์นอกประเทศจีน ที่มีเครื่องจักรสำคัญคือ LAZADA โดยอาลีบาบาถือหุ้นอยู่ 81% ที่ไปซื้อมาในปี 2016 เป้าหมายหลักของอาลีบาบา คือใช้ LAZADA เพื่อเป็นการสร้างรายได้ในอาเซียน ซึ่งมีประชากรรวมถึง 651 ล้านคน ทั้งนี้ LAZADA นั้นเป็นผู้นำตลาด E-commerce ในประเทศอย่าง ไทย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และ มาเลเซีย ทั้งนี้มีผู้ใช้งาน Lazada แบบที่เรียกกว่า Annual Active Users อยู่ประมาณ 25 ล้านคน นอกจากนี้ในภูมิภาคอื่นของโลก อาลีบาบา นั้นใช้ Aliexpress.com เพื่อแข่งขัน ในตลาดอย่างยุโรปและอเมริกา ซึ่งมีผู้ใช้อยู่ประมาณ 60 ล้านคน
รายได้ค้าปลีกออนไลน์นอกประเทศของอาลีบาบานั้น ยังน้อยหากเทียบกับค้าปลีกออนไลน์ในจีน โดยยังเป็นสัดส่วนเพียง 6% ของรายได้ Core commerce แต่ว่ามีการเติบโตสูงถึง 115% YoY ในไตรมาสล่าสุด แน่นอนว่าอย่างในไทย Lazada ยังเป็นเบอร์ 1 แต่ก็ต้องเจอกับการแข่งขันอย่างหนักจาก Shopee, 11th Street และต้องเตรียมพร้อมกับการเข้ามาของ JD.com ที่จะจับมือกับกลุ่มเซ็นทรัล ยักษ์ใหญ่ด้านค้าปลีกของไทย
ส่วนรายได้อีก 6% ของรายได้ Core commerce มาจากธุรกิจค้าส่งออนไลน์ที่เกิดในและนอกประเทศจีนผ่านเวปไซด์อย่าง Alibaba.com และ 1688.com แน่นอนว่าค้าส่งออนไลน์ไม่ได้สร้างรายได้มากมายในอาลีบาบา เพราะการค้าแบบ B2B นั้นซับซ้อนกว่า แบบ B2C การซื้อขายผ่านระบบออนไลน์นั้นจึงไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากนั้น และดูเหมือนว่าการเติบโตจะอยู่เพียงแค่ 10%-20% ต่อปีเท่านั้น
ในส่วนรายได้ Core commerce นี้ยังรวมถึงการค้าแบบออฟไลน์ด้วย แต่ยังเป็นส่วนเล็กมาก แต่ก็เป็นสิ่งที่อาลีบาบาให้ความสำคัญในระยะหลัง เพราะว่าอย่างที่ทราบกันดีว่า ค้าปลีกออนไลน์นั้นคิดเป็นเพียง 15% ของมูลค่าค้าปลีกทั้งหมดจีน แผนของอาลีบาบาไม่ใช่การเพิ่มคนซื้อออนไลน์เพียงอย่างเดียว แต่คือการเข้าไปครอง 85% ที่เหลือ โดยการใช้เทคโนโลยีต่างๆ และความเชื่มโยงกับระบบออนไลน์มาแย่งส่วนแบ่งการตลาดนั้น
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือการเปิดตัว Hema Supermarket ซึ่งอาลีบาบานั้นให้คำจำกัดความว่า “New Retail Experience” โดยซูเปอร์มาร์เก็ตนี้จะผสานออฟไลน์และออนไลน์ไว้ด้วยกัน โดยผู้ซื้อนั้นสามารถ Application ลงในมือถือ และใช้มันสแกนบาร์โคดบนสินค้าต่างๆ ใน Hema Supermarket เพื่อรู้ถึงข้อมูล ที่มา โปรโมชั่น ของสินค้านั้นๆ จากนั้นก็สามารถจะจ่ายค่าสินค้าผ่าน Alipay ได้ นอกจากนี้คนใช้ Application ก็สามารถซื้อของใน Hema Market ผ่านระบบออนไลน์ได้เช่นกัน โดยของจะถูกส่งถึงบ้านได้ภายในเวลา 30 นาที ในพื้นที่ที่อยู่ในรัศมี 3 กิโลเมตร
ยังไม่จบแค่นี้ อาลีบาบา ยังเปิดเผยว่าจะเปิด shopping mall ของตัวเองแห่งแรกใกล้กับสำนักงานใหญ่ในเมืองหางโจว ซึ่งจะเรียกห้างนี้ว่า “More Mall”
โดยคาดว่าจะเปิดตัวในเดือนเมษายนปีหน้านี้ โดยทางอาลีบาบาเผยว่าจะมีการนำเทคโนโลยีแบบ Interactive มาเปลี่ยนประสบการณ์ในการชอปปิ้ง Virtual Fitting room หรือกระจกอัจฉริยะที่ให้เราเลือกลองเครื่องสำอางได้
ก็ต้องรอดูว่ากลยุทธ์เข้าสู่ร้านค้าแบบ Brick-and-Mortar ของอาลีบาบาจะประสบความสำเร็จหรือไม่ และจะสามารถใช้ความแข็งแกร่งด้านเทคโนโลยีและธุรกิจในเครือไม่ว่าจะเป็นด้านโลจิสติก , Alipay และ Cloud Computing มาช่วงชิงส่วนแบ่งจากธุรกิจค้าปลีกออฟไลน์ได้มากน้อยแค่ไหน
วันนี้เราพูดแค่เพียงส่วนหนึ่งของ Ecosystem ของอาลีบาบา คราวหน้าเราจะมาเล่าให้ฟังถึงธุรกิจด้านอื่นๆของอาลีบาบา ว่ามีอะไรน่าสนใจ และอะไรจะสามารถสร้างกำไรให้บริษัทได้นอกเหนือจากส่วน Core commerce อีกบ้าง โดยเฉพาะ Vision ที่สำคัญๆของ แจ็คหม่า อย่าง O2O หรือ Online to Offline