Nvidia หุ้นที่ได้ประโยชน์มหาศาล จากทั้ง 5G และ Semiconductor
โดยคร่าวๆ Nvidia โด่งดังมาจากการที่บริษัทเป็นผู้ผลิตการ์ดจอ หรือชิพ GPU โดยมี Market Share เป็นอันดับหนึ่งในโลกที่กว่า 80%
.
ในช่วงแรกนั้น GPU ถูกใช้สำหรับการเล่นเกมเท่านั้น เช่น การติดตั้งมากับคอมพิวเตอร์หรือเครื่องเล่มเกม XBox, Playstation แต่หลังจากนั้นมีการค้นพบว่าชิพ GPU สามารถนำมาเทรนนิ่ง AI ได้ จึงเกิดการใช้งานเพิ่มขึ้นใน Data Center โดยเฉพาะ Cloud ผู้นำตลาดทั้ง Amazon, Microsoft, Alibaba, Google
.
แถมด้วยการค้นพบอีกว่า GPU สามารถนำมาขุดเหรียญ Ethereum ยิ่งช่วยให้ Nvidia ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
.
Nvidia ได้แบ่งแยกรายได้ออกมาเป็น 5 ส่วนหลักๆด้วยกัน
1. Gaming → หลักๆจะมาจากการขายการ์ดจอสำหรับเกมเมอร์ และบางส่วนก็นำไปขุด Crypto ซึ่งรายได้ส่วนนี้คิดเป็น 45% ของรายได้ทั้งหมด โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะปีที่ผ่านมีการเติบโตมากมาจากราคา Crypto ทำให้คนนิยมซื้อกันมาขุด และสถานการณ์ไวรัสทำให้คนอยู่บ้านเล่นเกมมากขึ้น
2. Data Center → รายได้จากการขายชิพเพื่อนำไปทำ Cloud Computing คิดเป็น 41% ของรายได้ โดยลูกค้าในส่วนนี้จะรวมไปถึงบริษัทใหญ่ๆที่ทำคลาวด์ เช่น AWS, Alibaba, Azure, Google Cloud, และ IBM Cloud
3. Professional Visualization → รายได้จากชิพที่ใช้สำหรับการทำงานแบบแอดวานซ์ เช่น งานออกแบบ งานกราฟฟิกโหดๆ คิดเป็น 8% ของรายได้
4. Automotive → รายได้จากการขายชิพเพื่อใช้สำหรับ Autonomous Driving (รถยนต์ไร้คนขับ) สำหรับแบรนด์รถยนต์ต่างๆ คิดเป็น 2% ของรายได้
5. OEM and Other → รายได้จากการผลิตชิพให้บริษัทอื่นๆ คิดเป็น 3.3% ของรายได้
.
รายได้ Nvidia เติบโตแบบก้าวกระโดด (ตาม Fiscal year)
ปี 2019 มีรายได้ 11,716 ล้านดอลลาร์
ปี 2020 มีรายได้ 10,918 ล้านดอลลาร์
ปี 2021 มีรายได้ 16,675 ล้านดอลลาร์
.
#งบไตรมาส3
Nvidia ประกาศรายได้อยู่ที่ $7,103 millions +50% YoY มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เล็กน้อย
.
โดยรายได้จากธุรกิจเกมที่เติบโตขึ้นสืบเนื่องมาจากความต้องการของการ์ดจอที่ยังคงสูงอย่างต่อเนื่องถึงแม้ว่าจำนวนสินค้าจะมีอยู่จำกัด มากไปกว่านั้นรายได้จากธุรกิจ Data Center ก็ยังเติบโตได้ดี จากการที่ผู้ให้บริการคลาวด์และบริษัทต่างๆหันมาใช้ GPU ของ Nvidia สำหรับการทำแอพพลิเคชั่นเกี่ยวกับ Artificial intelligence (AI)
.
และเมื่อไม่นานมานี้ Nvidia ได้ประกาศว่าตนเองสามารถเป็นหนึ่งในซัพพลายเออร์ของบริษัทเทคต่างๆที่ต้องการจะสร้าง Metaverse รวมถึงได้เปิดตัวซอฟแวร์อันใหม่ของบริษัทชื่อ “Omniverse Enterprise” ที่ใช้สำหรับการสร้างตัวละครและการทำงานร่วมกันในโลกเสมือน
กลายเป็นว่า Nvidia เหมือนจะเป็นผู้ได้ประโยชน์จากธีม Metaverse ด้วย
.
#โอกาศการเติบโต
#EdgeComputing
หนึ่งในธีมหุ้นชิพที่ใหญ่มากใน 3 ปีข้างหน้า เป็นการเพิ่มความสามารถให้อุปกรณ์ทั่วๆไปทำงานได้ซับซ้อนขึ้น เช่น รถยนต์ขับเองได้ กล้องวงจรปิดสามารถวิเคราะห์ภาพที่เห็นได้เอง ซึ่งจะเกิดการนำไปใช้ประโยชน์ใหม่ๆมากมาย
.
โดยก่อนหน้านี้ยังไม่แน่ชัดว่า GPU จะทำเทคโนโลยี Edge computing ได้มีประสิทธิภาพ แต่หลังมุ่งมั่นพัฒนา ทีม Nvidia ก็พิสูจน์ตัวเองได้อีกครั้งว่าทำสำเร็จ ในอนาคตจึงจะบุกตลาดอื่น นอกเหนือจาก Data Center พร้อมเก็บผลประโยชน์ยาวๆ
.
#AutonomousDriving
ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของ Nvidia สำหรับรถยนต์ยังถือว่าน้อยมาก โดยเราเชื่อว่ารายได้ตรงนี้จะสามารถเป็น S-Curve อันใหม่ของ Nvidia ได้จากการที่แบรนด์รถยนต์ทั่วไปจะต้องพึ่งพิงชิพของ Nvidia ในการผลิตรถไร้คนขับ
.
โดยมีการคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดของรถยนต์ไร้คนขับจะมีมูลค่าสูงถึง $65 billion ในปี 2030 คิดเป็นการเติบโตกว่า 23% CAGR จากปัจจุบัน
.
แต่ตลาดนี้ไม่ง่ายนัก เพราะคู่แข่งต่างอัดงบกันแหลกเพื่อลุยด้วย โดยเฉพาะ Qualcomm ซึ่งนำเสนอชิพ Low-power และการเชื่อมต่อ 5G ที่ตัวเองถนัดมากๆ
.
#Omniverse
มากไปกว่านั้น เราเชื่อว่าแพลตฟอร์ม Omniverse ที่ใช้สำหรับ Metaverse ของ Nvidia ถ้าประสบความสำเร็จจริงก็น่าจะเป็นอีกหนึ่ง S-Curve ให้กับบริษัท โดยปัจจุบันแพลตฟอร์มนี้มีบริษัทที่ใช้งานอยู่กว่า 700 บริษัท และถูกดาวน์โหลดไปแล้วกว่า 70,000 ครั้ง
.
#ARM_CPU
มีการเปิดตัว GRACE เป็น CPU ใน Data Center ตัวแรกของ Nvidia ซึ่งอยู่บนสถาปัตยกรรมของ ARM ที่ออกแบบมาใช้ประมวลผล AI ในฝั่งนี้โดยเฉพาะ แต่ยังต้องลุ้นดีลเทคโอเวอร์ ARM อีกพอสมควร เพราะปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีรายงานจาก Bloomberg ว่าคณะกรรมการพบข้อกังวลหลายประการ และมีโอกาสระงับดีลค่อนข้างสูง
.
ที่แน่ๆคู่แข่งระดับบิ๊กๆ ทั้ง AMD, Qualcomm, Google, Apple ไม่มีใครอยากให้ Nvidia เทคสำเร็จ เพราะอนาคตอาจถูกกินรวบได้ง่ายๆ
.
ทางด้านซึ่งคู่แข่งหลักๆของบริษัทจะมีทั้ง Intel Corp. (INTC) และ Advanced Micro Devices Inc. (AMD) แต่ต้องบอกว่าระดับเทคโนโลยียังห่างกันพอสมควรครับ
.
BottomLiner