สรุป “The Changing World Order: Why Nations Succeed and Fail” ของ Ray Dalio
สรุปพรีวิวหนังสือเล่มใหม่ “The Changing World Order: Why Nations Succeed and Fail” ของ Ray Dalio โดย BottomLiners ที่จะเล่าถึงวงจรของมหาอำนาจในแต่ละยุคและการเกิดขึ้นของประเทศมหาอำนาจใหม่ ปัจจัยใดช่วยสนับสนุนหรือทำลายความก้าวหน้า ความขัดแย้งระหว่างประเทศจะมีผลลัพธ์ยังไง ซึ่งตรงกับช่วงนี้พอดี เมื่อจีนกำลังท้าชนสหรัฐ
ฉบับจริงภาษาอังกฤษสำหรับสายฮาร์ดคอประวัติศาสตร์เข้าไปดูได้ใน https://www.principles.com/the-changing-world-order/#chapter1
ตอนนี้มีทั้งหมด 3 ตอน เราจะสรุปมาให้อ่านเรื่อยๆ ไปเริ่มต้นในตอนที่ 1 กันเลย!
Chapter 1
The big picture in a tiny nutshell
ในยุค 500 ปีที่แล้ว แรงงานและทรัพยากรมนุษย์ได้ถือเป็นปัจจัยหลักในทางขับเคลื่อนประเทศให้เจริญและเข้มแข็งได้ ถ้าจะย้อนกลับไปดูตัวเลข GDP ในยุคนั้น จะเห็นว่าภาพรวม GDP โลกมีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แม้ในช่วงก่อนศตวรรษที่ 18 จะมีการเติบโตช้า แต่หลังจากนั้น GDP ได้มีการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะมันคือยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นช่วงแรกที่เปลี่ยนจากยุคการเกษตรมาเป็นเศรษฐกิจแบบอุตสาหกรรม มีนายทุนประดิษฐ์คิดค้นและเป็นเจ้าของการผลิตสินค้า ผู้คนฉลาดขึ้น ถ่ายทอดความรู้ไปสู่คนอื่น เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษา
หากมองย้อนไปช่วงศตวรรษที่ 17 ก็จะพบว่าในยุคนั้นประเทศที่เริ่มเฟื่องฟูและมีอำนาจมากคือ อังกฤษ แม้ว่าจะเป็นประเทศที่มีขนาดเล็ก แต่ก็ได้มีอาณานิคมกระจายอยู่นอกราชอาณาจักรเยอะแยะมากมาย จนได้ฉายาว่าเป็น ดินแดนพระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน (The sun never set in the British Empire)
แต่แน่นอนว่าอาณาจักรที่รุ่งเรืองก็สามารถถูกแย่งชิงอำนาจไปได้ ถ้าหากมีรากฐานที่อ่อนแอ โดยวิกฤตที่จะสามารถทำลายอำนาจของอาณาจักรได้นั้นแบ่งได้เป็น วิกฤตทางเศรษฐกิจ, สงคราม และโรคระบาด
เมื่อไล่รายชื่ออาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ในอดีต พบว่าจีนนั้นเป็นประเทศที่มีความโดดเด่นตั้งแต่ยุค ค.ศ. 600 ต่อมาเนเธอร์แลนด์แม้จะเป็นประเทศที่ค่อนข้างเล็กแต่สามารถเป็นหนึ่งในอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ของโลกในยุค ค.ศ. 1600 และเปลี่ยนมือเป็นสหราชอาณาจักรในปี ค.ศ. 1800 ซึ่งหลังสงครามโลกครั้งที่สอง สหรัฐก็ขึ้นสู่การเป็นมหาอำนาจของโลกจนถึงปัจจุบัน แม้ตอนนี้การเติบโตเริ่มช้าลงในขณะที่จีนกลับเร่งตัวขึ้น
ปัจจัยที่ทำให้อาณาจักรสามารถมีอำนาจได้นั้น คงต้องเริ่มจากการให้คนในประเทศมีการศึกษา เรียนรู้ Knowhow จากต่างประเทศ ซึ่งนำไปสู่การแข่งขันในตลาดโลก เมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้น ก็จะสามารถลงทุนพัฒนาผลผลิตสูงขึ้น การมีเทคโนโลยีใหม่ก็จะช่วยส่งเสริมกองทัพทหารให้มีความแข็งแกร่งเพื่อปกป้องเส้นทางการค้า อย่างสหรัฐ ที่ชนะสงครามโลกครั้งที่สอง เนื่องจากเห็นได้ชัดว่าสหรัฐมีความโดดเด่นทางเศรษฐกิจและการทหาร ทำให้สหรัฐกลายเป็นประเทศมหาอำนาจที่มีสกุลเงินเป็นสกุลเงินสำรองของโลก ย่อมทำให้สามารถกู้ยืมและใช้จ่ายมากขึ้น
ค่าเงินของประเทศที่มีร่ำรวยที่สุดและมีอำนาจมากที่สุดจะกลายเป็นสกุลเงินสำรองของโลก ทำให้มีสิทธิพิเศษที่มากกว่าประเทศอื่น สามารถยืมเงินได้มากขึ้นเท่ากับเป็นหนี้มากขึ้น การมีหนี้มากเกินไปนี้สามารถดำเนินต่อไปได้ระยะหนึ่งและอาจเป็นการเสริมเศรษฐกิจของประเทศด้วย แต่เมื่อประเทศที่ร่ำรวยเป็นหนี้สินจากการกู้ยืมจากประเทศที่จนกว่า จะเป็นสัญญาณแรกของการเปลี่ยนแปลงความมั่งคั่ง เช่นในปี 1980 เมื่อสหรัฐมีรายได้ต่อประชากรมากกว่าจีน 40 เท่า เริ่มกู้ยืมจากจีนเป็นสกุลเงินดอลลาร์ เช่นเดียวกับอังกฤษที่ยืมเงินจำนวนมากจากอาณานิคมที่ยากจน โดยเฉพาะในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และเนเธอร์แลนด์ก็ทำเช่นเดียวกัน ก่อนที่จะเกิดการเปลี่ยนอำนาจของประเทศ
จึงสามารถสรุปได้ว่า ประเทศที่มีความมั่นคงนั้นจะเกิดได้จาก ประเทศมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งเพราะมีหนี้สินที่ค่อนข้างต่ำ ช่องว่างระหว่างชนชั้นน้อย คนทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อก่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง มีการศึกษาดี ผู้นำที่เข้มแข็งและมีความสามารถ และโลกที่สงบสุข
วัฏจักรของประเทศมหาอำนาจในอดีตแสดงให้เห็นว่า การปฏิวัติและสงครามจะทำลายระบบของประเทศมหาอำนาจเดิม ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นการเกิดขึ้นของประเทศมหาอำนาจใหม่ โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 10 ถึง 20 ปี การเปลี่ยนแปลงใหม่แสดงโดยพื้นที่แรเงาในแผนภูมิ หลังจากนั้นจะตามมาด้วยช่วงเวลาแห่งสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองที่ยาวนาน จะไม่มีประเทศใดต้องการต่อสู้กับประเทศมหาอำนาจใหม่เพราะแข็งแกร่งเกินไป ซึ่งช่วงเวลาแห่งความสงบสุขจะใช้เวลาประมาณ 40 ถึง 80 ปี
ติดตามต่อ Chapter 2: Money, Credit, and Debt