ทำไมตลาดกังวลเงินเฟ้อครั้งนี้?? [Beginner]
(มือใหม่ ใส่ใจ Macro Series)
ในบทความก่อนหน้าเราได้ทำความรู้จักกันแล้วว่าเงินเฟ้อคืออะไร?? เกิดจากอะไร??.
บทความนี้เราจะมาดูกันว่าทำไมนักลงทุนถึงกังวลการมาของเงินเฟ้อในรอบนี้และมันจะส่งผลกระทบต่อตลาดยังไงบ้าง??
มีนาคม 2020 เป็นจุดเริ่มต้นของการฉัดฉีดเม็ดเงินครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก โดยทางเฟดได้ออกมาประกาศว่าจะทำ Unlimited QE หรือการอัดฉีดแบบไม่ยั้ง เพื่อพยุงเศรษฐกิจจากไวรัสจอมป่วน
เป้าหมายคือเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และตลาดก็ฟื้นตัวหลังจากทั้งที่เศรษฐกิจยังคงแย่อยู่ แน่นอนละการฟื้นตัวนั้นไม่ได้มาจากพื้นฐานผลประกอบที่เติบโตแต่มาจากสภาพคล่องส่วนเกินของเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่อยู่ในระบบ
นั่นคือความคิดที่ผิด เพราะวันที่ออก QE หุ้นก็ไม่ได้ตอบรับดีเท่าไหร่นัก วันเวลาผ่านไปถูกลากด้วยหุ้นเทคโนโลยีกลับมาต่างหาก อีกทั้ง ดอกเบี้ยถูก คนว่างงาน รัฐแจกเงิน คนได้เงินมาก็เติมหุ้นกันแหลก กรูกันเข้าตลาดช่วยกันดันราคา
แต่ความจริงที่ว่า QE พร้อมกันทั้งโลกยังอยู่ เพื่อกดอัตราดอกเบี้ยระยะยาวให้ต่ำลง
เมื่อประกอบร่างนโยบายทางการเงิน นโยบายการคลัง และมาตรการอีกมากมาย ส่งผลให้เศรษฐกิจดูดีขึ้น
การผลิตและแจกจ่ายวัคซีนได้มากกว่าที่ตลาดคาดมาก ทำใผู้คนที่เริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติมากขึ้น ส่งผลต่อ demand สินค้าและบริการ แต่เนื่องจากช่วงเกิดวิกฤตนั้นก็ทำให้ผู้ประกอบการหรือผู้ผลิตล้มหายตายจากกันไปบ้างหรือยังไม่สามารถกลับมาดำเนินการได้ตามปกติส่งผลให้เกิดภาวะ Supply Shock
ซึ่งก็ได้สะท้อนส่วนหนึ่งผ่าน Yield พันธบัตรระยะยาวไปเรียบร้อย (แต่ Yield ก็ขึ้นเพราะตลาดคาดว่าสักวันต้องยกเลิก QE ด้วย โอกาสทำเพิ่มมีน้อยกว่า)
ซึ่งปัจจุบันตลาดก็กังวลว่าการมาของเงินเฟ้อครั้งนี้ นั้นอาจจะทำให้ FED ต้องหันมาขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดเพื่อควบคุมไม่ให้เงินเฟ้อเกินไป กลายเป็นสภาวะรัดเข็มขัด ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นดีเท่าที่ควร จะทำให้ทุกอย่างพังลงได้ และข้าวของที่แพงขึ้นจะส่งผลต่อกำลังซื้อ
ยิ่งดูตัวเลข ยิ่งดูน่ากลัวเพราะ CPI หากดู YoY (เทียบปีก่อน) จะเพิ่มสูงมาก เนื่องจากฐานค่อนข้างต่ำ
ทำให้เกิดแรงเทขายทำกำไรออกมา ทั้งตลาดบอนด์ และหุ้น Mid/Small Cap รวมถึงหุ้นเทคโนโลยี ที่วิ่งแรงในปีก่อน (แต่พวก Tech ใหญ่ๆ รอด) ซึ่งก็เป็นไปตามสถิติในอดีต เกิดขึ้นได้ ก่อนเข้าสู่ช่วงนโยบายการเงินแบบรัดเข็มขัด (Tightening Cycle)
ต้องยอมรับว่าปัจจุบันตลาดนั้นได้รับแรงสนับสนุนจาก QE ที่อัดฉีดเข้ามากว่า 1.2 แสนล้านดอลลาร์ต่อเดือน และการคาดดุลการคลังจำนวนมหาศาลที่สุดตั้งแต่เคยมีมา รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับใกล้ 0% เปรียบเสมือนรถยนต์ที่ติด ไนตรัส (N2O) เพื่อเร่งความเร็วอยู่ตลดเวลา จนลืมไปว่าความเป็นจริงแล้วรถคันนี้เร่งความเร็วได้สูงสุดเพียงใด ลองนึกภาพถ้าสิ่งเหล่านี้ลดลง หรือหายไปจะเกิดอะไรขึ้น??
มาลองคิดดูกัน
BottomLiner
ลงทุนให้ถูกจังหวะ รู้จักหุ้นและกองทุนมากขึ้นเพื่อลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพกับ Exclusive Content ฉบับ BottomLiner สนใจอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : https://forms.gle/DBhATCRfWprbcNuu7